วังวนทางการเมืองไทยที่มีนักการเมืองไม่มากย่อมหลีกหนีไม่พ้นอย่างที่มีคำเปรียบเปรยว่า “ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร”

วันนี้อาจจะรักกันเพราะผลประโยชน์ลงตัว แต่พรุ่งนี้อาจจะเป็นศัตรูกันเพราะผลประโยชน์ขัดกัน

มันเป็นแบบนี้แหละ...นักการเมือง

“ทักษิณ ชินวัตร” กับ “เนวิน ชิดชอบ” คือตัวอย่างที่พอจะนำมาเปรียบให้เห็นในยุคปัจจุบันได้แม้จะเป็นเรื่องเก่าแต่ก็ยังทันสมัยอยู่

“เนวิน” ซึ่งวันนี้รับบทเป็น “ครูใหญ่” ให้กับพรรคภูมิใจไทย โดยมีศิษย์เอกชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นหัวหน้าพรรค

หวังจะปลุกปั้นให้เป็นนายกรัฐมนตรีบนเส้นทางการเมือง

“ครูใหญ่” นั้นเคยอยู่ร่วมชายคาเดียวกับ “นายใหญ่” ในฐานะขุนพลคู่ใจที่พร้อมจะรับใช้ในทุกบทบาท สั่งปุ๊บได้ปั๊บ...ว่างั้นเถอะ

แต่มาแตกคอปัญหาภายใน “ครูใหญ่” จึงนำพลพรรคแบบ “หักหน้า” นายด้วยการโดดข้ามขั้วมาสนับสนุน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี

ไม่ต่างกับ “ศิษย์ล้างครู”

โดยมีคำพูดเจ็บๆว่า “มันจบแล้วครับ...นาย”

ถามว่า “นายใหญ่” รู้สึกอย่างไร ตอบง่ายๆ “แค้นเคืองใจ” เป็นที่สุด แต่เนื่องจากต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศเสีย 17 ปี

ก็เลยเหมือนว่าต่างคนต่างอยู่ไม่ได้ชำระความกัน

จนกระทั่ง “ทักษิณ” ตัดสินใจกลับบ้านด้วยดีลพิเศษ ก่อนวันเดินทางถึงสนามบินดอนเมือง “เนวิน” ได้แสดงตัวตนให้เห็นด้วยการเดินทางไปที่นั่นและสั่งการดูแลความเรียบร้อย

นี่คือไมตรีหนึ่งที่ทอดให้...

จนกระทั่ง “เพื่อไทย” ได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี โดย “อนุทิน” เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย

...

“อนุทิน” กับ “นายใหญ่” นั้นเหมือนงูเห็นเชือกกล้วยเพราะบารมีและชื่อชั้นการเมืองต่างกันมาก แต่มาเกิดปัญหาแข็งข้อกันเมื่อ “เสี่ยหนู” ประกาศและแสดงความเป็น “พระเอก” คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่อง “จริยธรรม” ตามด้วย สว.สายสีน้ำเงินมีปฏิกิริยาที่จะไม่แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

ซึ่งเท่ากับ “หัก” เพื่อไทยอย่างตรงไปตรงมา โดย “ทักษิณ” ไม่พูดสักแอะและกำลังอยู่ในช่วงเก็บตัวไม่ต้องการเป็นปัญหากับรัฐบาล

คงไม่ต้องถามว่า “ทักษิณ” เคืองมั้ย...เพราะนี่ถือเป็นครั้งที่ 2 แล้ว

นั่นแหละ “อนุทิน” ซึ่งร้อนตัวที่สุดและปกติก็ไม่กล้ากับ “นายใหญ่” อยู่แล้วจึงต้องแก้เกมด้วยการติดต่อและพา “เนวิน” เข้าพบที่บ้านจันทร์ส่องหล้า

ตามท้องเรื่องน่าจะเป็นว่าเพื่อ “ขออภัย” ทั้งสองคน ณ วันนี้ “ทักษิณ” ก็ต้องการให้สนับสนุน “ลูกสาว” และรัฐบาลให้ไปตลอดรอดฝั่ง

พูดง่ายๆผลประโยชน์ไม่ขัดกันทุกอย่างก็จบ

นอกจากเคลียร์ใจกันแล้วเรื่องอื่นค่อยมาว่ากันยังมีเวลาอีกมาก แต่อย่างน้อยต่างฝ่ายต่างได้แสดงตัวตนที่พร้อมจะเดินหน้าไปด้วยกัน

เรื่อง “ไร้สาระ” แต่ “มีสาระ” จึงเป็นจำอวดบทหนึ่ง

ที่ทำให้รู้ว่า “เสี่ยหนู” นั้นเป็นคนเก็บความลับไม่เก่งแต่ลีลาก็ไม่ธรรมดาเพราะเรื่องนี้อยากจะให้สังคมได้รับรู้ใจจะขาดเลยทำท่าอมพะนำเพื่อให้เกิดความน่าสนใจมากขึ้น

แต่ความจริงอยากจะเปิดเผยตั้งแต่ออกจากบ้านจันทร์ส่องหล้าแล้ว!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม