“วันนอร์” เรียกประชุม 12-13 ก.ย. ฟังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ประธานวิปรัฐบาลจ่อหั่นเวลาฝ่ายค้าน เปิดร่างคำแถลงผลักดัน 10 นโยบายเร่งด่วนทำทันที ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ-ส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยสู้ทุนต่างชาติ-ปรับโครงสร้างราคาพลังงาน-ดึงธุรกิจใต้ดินเข้าระบบภาษี-อัดดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้น ศก.-ยกระดับเกษตรทันสมัย-ดันเอนเตอร์เทน เมนต์คอมเพล็กซ์-ปราบยาเสพติด-ล้างอาชญากรรมออนไลน์-เสริมศักยภาพสวัสดิการสังคม เล็งปรับโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่ เร่งผลักดันแก้ รธน.-ปฏิรูปราชการ ย้ำพาคนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี “ประชาชน” จัด 30 ขุนพลรอชำแหละ ติงนโยบายใหญ่ทำกลับไปกลับมา ปล่อย สว.อภิปรายอิสระ “เรืองไกร” จองเวรไม่เลิกร้องนายกฯตั้ง “ภูมิธรรม” ขัด รธน.
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา แจ้งนัดประชุมร่วมรัฐสภาเป็นพิเศษ วันที่ 12-13 ก.ย. วาระด่วนคือคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เปิดเอกสารคำแถลงนโยบายของ ครม. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมทั้งสิ้น 14 หน้า กับ 10 นโยบายเร่งด่วนที่จะทำทันที
วิป รบ.จ่อหั่นเวลาแถลงนโยบาย
เมื่อวันที่ 8 ก.ย. นายวิสุทธ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประธานวิปรัฐบาลกล่าวว่า ในวันที่ 9 ก.ย. เวลา 10.00 น. จะมีการประชุมวิป 3 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ครม. หารือกรอบเวลาการอภิปรายแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ในวันที่ 12-13 ก.ย.นี้ อาจลดเวลาอภิปรายลงจากเดิม 31 ชั่วโมง ใช้เวลา 2 วัน เพราะนานไป ส่วนใหญ่เป็นนโยบายเดิมสานต่อจากรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มีเรื่องใหม่เข้ามาบ้าง เชื่อว่าจะได้รับความร่วมมือจากฝ่ายค้านและวุฒิสภา เวลาอภิปรายฝ่ายค้านที่ได้ 14 ชั่วโมง อาจปรับเป็น 10 หรือ 12 ชั่วโมง เร่งรัดการแถลงนโยบายให้เสร็จจะได้มีเวลาไปดูแลปัญหาน้ำท่วมในขณะนี้ และการอภิปรายครั้งนี้คงไม่ดุเดือด เพราะเป็นการอภิปรายแถลงนโยบาย ไม่ใช่อภิปรายงบประมาณ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจ
...
1 ปีทำได้หมดก็ประหลาดแล้ว
เมื่อถามว่าฝ่ายค้านอาจทวงสัญญาช่วงเลือกตั้ง และตรวจการบ้าน 1 ปี นายวิสุทธิ์ตอบว่า 1 ปีถ้าทำได้หมดก็ประหลาดแล้ว ตอนเข้ามางบประมาณปี 2567 ยังอยู่ระหว่างจัดซื้อจัดจ้าง และเป็นงบประมาณที่รัฐบาลเก่าตั้งไว้ ส่วนงบประมาณปี 2568 กำลังผ่านไปยังวุฒิสภา ถ้า 1 ปีทำครบสัญญาทุกอย่างก็แปลกประหลาด ยังมีเวลาอีก 3 ปี ยืนยันรัฐบาลทำงานเต็มที่ ไม่กังวลอะไร เป็นธรรมดาของฝ่ายค้านที่มีหน้าที่อภิปรายติเตียน ส่วนรัฐบาลมีหน้าที่ชี้แจง
ลุย 10 นโยบายเร่งด่วนทำทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา แจ้งนัดประชุมร่วมรัฐสภาเป็นพิเศษ วันที่ 12-13 ก.ย. มีวาระด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ล่าสุด ครม.ได้ส่งเอกสารคำแถลงนโยบายของ ครม. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มายังสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เรียบร้อยแล้ว จำนวน 14 หน้า มีสาระสำคัญระบุถึงนโยบายเร่งด่วนที่ทำทันที 10 ข้อ เพื่อพลิกฟื้นประเทศจากปัญหารุมเร้า ได้แก่ 1.การปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบและในระบบที่ไม่ขัดต่อวินัยการเงิน ไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม 2.ส่งเสริมและปกป้องผลประโยชน์ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งต่างชาติ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มออนไลน์ 3.ออกมาตรการลดราคาพลังงานและสาธารณูปโภค ด้วยการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน และเร่งปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ทำสัญญาซื้อขายพลังงานโดยตรง พัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม เจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน ด้านขนส่งมวลชนจะกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมใน กทม. เพื่อรองรับนโยบายค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย
กระตุ้น ศก.ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต
4.สร้างรายได้ใหม่ด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี และเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี เพื่อจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษา สาธารณสุขและสาธารณูปโภค 5.เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก 6.ยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตร 7.เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) 8.แก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร 9.เร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน 10.ส่งเสริมศักยภาพและจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง
เล็งปรับโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่
นโยบายพัฒนาประเทศระยะกลางและระยะยาว ต่อยอดพัฒนาภาคผลิตและบริการ สร้างความสามารถการแข่งขัน วางรากฐานสู่การพัฒนาประเทศในอนาคต ได้แก่ ต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ทั้งอาหารท้องถิ่น ผ้าไทย มวยไทย ศิลปะการแสดง ดนตรีไทย สุราชุมชน เพื่อยกระดับสินค้าโอทอปให้ตอบสนองต่อความต้องการผู้บริโภคทั่วโลก ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว ต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสุขภาพ การบริการทางการแพทย์ โครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ ให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิที่ดิน ที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินเพิ่มขึ้น เปลี่ยนโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่ ศึกษาความเป็นไปได้ ปฏิรูประบบภาษีไปสู่แบบ Negative Income Tax ผู้มีรายได้น้อยจะได้เงินภาษีคืนเป็นขั้นบันได มีเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงินโลก ผ่านการผลักดันยกร่างกฎหมายชุดใหม่ที่เป็นสากล โปร่งใส เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ
เร่งผลักดันแก้ รธน.-ปฏิรูปราชการ
ขณะที่นโยบายด้านการเมืองจะพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ นิติธรรมและโปร่งใส ประกอบด้วย 1.เร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็ว 2.สร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน ยึดมั่นหลักนิติธรรมและความโปร่งใส 3.ปฏิรูประบบราชการและกองทัพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อาทิ ปรับขนาดภาครัฐให้สอดคล้องกับภารกิจ ปรับเปลี่ยนการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ 4.ยกระดับการบริการภาครัฐให้สนองตอบความต้องการของประชาชน
พาคนไทยมีกิน-มีใช้-มีเกียรติ
ท้ายที่สุดรัฐบาลมีความมุ่งมั่นพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์และดำเนินงานตามแนวพระราชดำริอย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมสถาบันศาสนาให้เป็นกลไกสร้างคุณธรรม จริยธรรมในการดำเนินชีวิต ตลอดจนดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและจริงจัง ขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลจะมุ่งมั่นตั้งใจบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และยึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม ทำให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี นำพาความภาคภูมิใจกลับมาสู่คนไทย และประเทศไทย สร้างความหวังและอนาคตที่ดีกว่าให้ประเทศไทย จากวันนี้ไปถึงอนาคต
พท.การันตี “นายกฯอิ๊งค์” มุ่งมั่น
นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลเริ่มทำงานทุกคนหลังเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ก่อนปฏิบัติหน้าที่ ด้วยการประชุม ครม.นัดพิเศษ เพื่อสรุปนโยบายรัฐบาล เป็นข้อพิสูจน์แรกว่านายกฯมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน ให้นโยบายได้รับการสานต่อ ถูกพัฒนาให้ดีกว่าเดิม และต้องสำเร็จภายใน 3 ปีที่เป็นรัฐบาล นายกฯใช้ทุกวินาทีอย่างมีค่า มีภาวะความเป็นผู้นำสูง ผ่านการตัดสินใจด้านนโยบายที่จะบรรจุลงเล่ม ด้วยการให้เกียรติทีมร่วมกันดำเนินงานในรายละเอียดก่อน กำหนดตัวชี้วัดการทำงานด้วยการสรุปผลการทำงานของแต่ละกระทรวงภายใน 3 เดือน นายกฯนำวิธีการและประสบการณ์บริหารธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มาปรับใช้กับการบริหารงานได้อย่างเหมาะสม ส่วนข้อวิพากษ์วิจารณ์นโยบายเป็นสิทธิแสดงความคิดเห็นทั่วไป แต่ขอให้ติดตามการนำเสนอนโยบายต่อรัฐสภาอย่างเป็นทางการในวันที่ 12-13 ก.ย.
ไม่ห่วงฝ่ายค้านวางขุนพลถล่ม
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคประชาชนเตรียมสส.ไว้ 30 คน รอชำแหละนโยบายรัฐบาลว่าฝ่ายค้านจะอภิปราย 30 หรือ 40 คน หรือทั้งพรรคถือเป็นสิทธิ แต่วันนี้รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีเสถียรภาพความเข้มแข็ง การทำหน้าที่ในสภาฯควรเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ให้ประเทศไทยไปต่อ สลายขั้วก้าวข้ามความขัดแย้ง 1 ปีที่ผ่านมาภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ทำได้หลายเรื่องชัดเจน และรัฐบาล น.ส.แพทองธารมาสานต่อ เวทีนี้จะเป็นเวทีตรวจการบ้านรัฐบาลว่า 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลเพื่อไทยมีอะไรเกิดขึ้นแล้วบ้าง ให้ทุกฝ่ายเสนอแนะสิ่งที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน รัฐบาลยินดีรับฟัง ส่วนที่ฝ่ายค้านบอกว่าจะเป็นการอภิปรายที่ดุเดือดนั้น คงไม่จำเป็นต้องมีทีมองครักษ์ เพราะถูกตรวจสอบโดยประชาชนอยู่แล้ว หากอภิปรายเกินกว่ากรอบไม่สร้างสรรค์ ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน
รทสช.เชื่อ 10 นโยบาย รบ.เห็นผล
นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล ทั้ง 10 นโยบายเป็นการมุ่งเน้นแก้ปัญหาใหญ่ของประเทศ อาทิ เร่งปรับโครงสร้างหนี้สินทั้งระบบ โดยเฉพาะปัญหาหนี้นอกระบบ หนี้ภาคครัวเรือน ที่รัฐบาลชุดก่อนดำเนินการเป็นรูปธรรมมาแล้ว ควบคู่กับการสร้างรายได้ใหม่ พัฒนาภาคการเกษตร ยกระดับเกษตรกรไทย และการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพพื้นฐานให้กับกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อยก่อน การแก้ปัญหายาเสพติดที่เป็นวาระแห่งชาติ การแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติ ยอมรับว่าเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่หากรัฐบาลมีตัวชี้วัด หรือ KPI มาประเมินผลการทำงานให้ชัดเจน ดำเนินการจริงจังและทำต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเห็นผลงานเป็นรูปธรรมชัดเจน
ขอฝ่ายค้านอย่าตีขลุมซักฟอก
นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรค รทสช. กล่าวว่า เชื่อมั่นอย่างยิ่งในนโยบายของรัฐบาลว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนได้ โดยเฉพาะกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงานมีนโยบายหลักคือ “รื้อ ลด ปลด สร้าง” โครงสร้างราคาพลังงาน คืนความเป็นธรรมให้พี่น้องประชาชน คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในระยะเวลาไม่นาน และเชื่อมั่นว่า สส.ฝ่ายค้านจะอภิปรายตรงข้อบังคับมีข้อเสนอแนะต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ใช้เวทีรัฐสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี หากการอภิปรายเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เชื่อมั่นว่าจะเป็นการใช้กลไกของรัฐสภาสร้างบรรยากาศการเมืองที่ดี
“นิกร” ดีใจมีจัดทำ รธน.ฉบับ ปชช.
นายนิกร จำนง ผอ.พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ดีใจมากที่ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา มีการบรรจุเรื่องนโยบายการเร่งรัดจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนใหม่ และนโยบายเรื่องความปลอดภัยทางถนนเอาไว้ หายเหนื่อยเลย จะได้มุ่งหน้าทำงานกันต่อไป
ปชน.ติงนโยบายใหญ่กลับไป–มา
ด้านนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการบรรจุเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือกาสิโนถูกกฎหมายไว้ในนโยบายรัฐบาลว่า ไม่ได้เซอร์ไพรส์ แม้เราไม่ได้คัดค้านแต่มองว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าจะทำก็ต้องรอบคอบโปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่มีการทุจริต ต้องเกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงมาตรการป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น เรื่องการติดพนัน ฟอกเงิน พรรคเตรียม สส.อภิปรายไว้กว่า 30 คน แต่ต้องรอความชัดเจนเรื่องเวลาอภิปราย จากที่ประชุมวิป 3 ฝ่ายอีกครั้ง ไม่ได้เน้นเรื่องใดเป็นพิเศษ แต่อภิปรายให้ครอบคลุมครบทุกด้าน เรื่องเงินดิจิทัลวอลเล็ตต้องมีแน่นอน เพราะผ่านมาปีกว่ายังไม่มีความชัดเจน เปลี่ยนไปมาอยู่เรื่อย ถ้ารัฐบาลนี้ทำงานในนโยบายระดับใหญ่ๆระดับเรือธงแบบนี้ ต้องย้อนกลับไปที่เรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่น่ากังวลเช่นกันว่าจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สร้างความกังวลและความสับสน และจะเกิดผลกระทบเชิงลบตามมาถ้ารัฐบาลไม่มีความชัดเจน
ปล่อย สว.อภิปรายอย่างอิสระ
ขณะที่ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ต้องรอที่ประชุมวิป 3 ฝ่ายหาข้อสรุปเรื่องกรอบเวลาการอภิปราย เมื่อได้กรอบเวลาแล้ว จะเปิดให้ สว.เข้าชื่ออภิปรายแถลงนโยบายรัฐบาล ส่วนข้อกังวลเรื่องการอภิปรายของ สว.เนื่องจากเป็นการอภิปรายครั้งแรกต่อนโยบายรัฐบาลของ สว.หลายคน ไม่ห่วง สว.ทุกคนศึกษานโยบายรัฐบาลที่จะแถลง เบื้องต้นส่งไฟล์เอกสารคำแถลงนโยบายให้วุฒิสภาแล้ว ไม่มีการวางประเด็นการอภิปรายให้สมาชิกเป็นอิสระ ใครจะอภิปรายต้องศึกษาข้อมูลมาก่อน
“หมอเปรม”รอถล่มดิจิทัลวอลเล็ต
นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. กล่าวว่า ตั้งใจอภิปรายนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต และนโยบายสาธารณสุข ให้เห็นปัญหาที่แท้จริง โดยเฉพาะการแจกเงินไม่ใช่คำตอบแก้ปัญหาความยากจน แต่เมื่อรัฐบาลหาเสียงไว้เช่นนี้ก็ต้องทำตามสัญญา แต่ต้องไม่ผิดกฎหมายและจริยธรรม การจะผันแปรเป็นเงินสด หรือดิจิทัลวอลเล็ต ขึ้นอยู่กับหลักกฎหมาย เพราะเงินทั้งหมดที่ออกไปแน่ๆคืองบประมาณเพิ่มเติมปี 2567 จำนวน 1.22 แสนล้านบาท ไม่อยากให้เป็นที่กังขา สามารถอธิบายได้ถึงกลุ่มที่ยังรอคอยการช่วยเหลือจากรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไร เช่น งบรายจ่ายปี 2568 จะเอามาจากส่วนไหน ทำอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย ไม่กระทบงบกลางที่จะนำไปช่วยเหลือภัยพิบัติฉุกเฉิน รัฐบาลต้องมีเงินสำรองไว้แก้ปัญหา ถ้าเอาไปแจกเป็นเงินดิจิทัลวอลเล็ตทั้งหมด จะขาดเงินส่วนนี้ ส่วนนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อของรัฐบาล มองว่านโยบายการคลังเป็นเรื่องยากที่สุด ต้องทำความเข้าใจทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยืนหลักการแข็งแกร่งมาตลอด ถ้าไม่มีหลักเลยจะกลายเป็นปัญหาได้ จะกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะเกิดปัญหาใหม่ที่ร้ายแรงกว่า รัฐบาลต้องฟังเสียง ธปท.เรื่องวินัยการเงินการคลังด้วย ส่วนเรื่องประชานิยมต้องประเมินผลว่า จะกระทบต่อเงินที่ใช้บริหารปกติของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆหรือไม่ เพราะประชานิยมคือต้องการสร้างฐานเสียงไว้ล่วงหน้า รองรับการเลือกตั้งในปี 2570 ต้องมองเรื่องสถานะการเงินการคลังช่วงนี้ก่อน
มี “หมอมิ้ง” รับรองภารกิจนายกฯ
นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีการทำหน้าที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะให้คำแนะนำ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อย่างไรบ้างว่า อย่าใช้คำว่าแนะนำ ถือว่าเป็นสตาฟฟ์ เป็นคนที่จะทำงานให้นายกรัฐมนตรี ปกติมีกระบวนการทั้งฝ่ายประจำและฝ่ายการเมือง สามารถทำงานรองรับภารกิจนายกฯให้สำเร็จ ย้ำว่าไม่ได้แนะนำ แต่เป็นคนที่รองรับภารกิจของนายกฯ หากนายกฯอยากได้อะไรก็จะทำให้ถูกต้อง ดำเนินการให้เป็นไปตามกระบวนการ ขอบเขตอำนาจทางกฎหมาย เมื่อถามว่ามีความเป็นห่วงเรื่องช่องว่างระหว่างวัยในการทำงานหรือไม่ นพ.พรหมินทร์ตอบว่า ไม่ห่วง ในรัฐบาลมีคนหลายรุ่นอยู่ด้วยกันที่จะคอยทำงานสนองภารกิจนายกรัฐมนตรีเพื่อประเทศชาติ
โฆษก ทสท.ทักนายกฯเดินผิดทาง
นายปริเยศ อังกูรกิตติ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) กล่าวว่า การเดินเกมการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึงคณะทำงานรอบข้าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินผิดทิศทาง ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน แถมสร้างศัตรูทางการเมืองต่อเนื่อง การดูด สส.ฝ่ายค้านเข้ามาเป็นรัฐบาล การสร้างภาพผู้นำคนใหม่ว่ามีประชาชนรักใคร่และมีความเป็นมืออาชีพ รวมถึงการทิ้งพรรคร่วมรัฐบาลเก่า น่าเห็นใจประชาชนที่เผชิญสถานการณ์การกินรวบ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง เป็นการสร้างความขัดแย้งระลอกใหม่โดยไม่จำเป็นจากการกระทำหลายเหตุการณ์ของรัฐบาลเพื่อไทยเป็นเหมือนสายล่อฟ้าเผชิญศึกทั้งในสภาฯนอกสภาฯ และยังทำให้เกิดการใช้นิติสงคราม ทั้งการทำผิดจริยธรรมนักการเมือง การถูกร้องเรียนถึงขั้นยุบพรรค ล้วนเกิดขึ้นจากการกระทำของทีมผู้บริหารพรรคเพื่อไทยยุคปัจจุบัน ยังไม่รวมถึงนโยบายต่างๆที่ผลักดันเดินหน้า ล้วนสุ่มเสี่ยงต่อกฎหมาย สร้างประโยชน์น้อยให้คนในประเทศ แต่กลับสร้างปัญหาไม่รู้จบ
“เรืองไกร” จองเวรตั้ง “ภูมิธรรม”
วันเดียวกัน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ได้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีเสนอชื่อนายภูมิธรรม เวชยชัย เป็น รมว.กลาโหม เข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) หรือไม่ และเข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่ เนื่องจากการเลือกนายภูมิธรรมเป็น รมว.กลาโหม ถูกวิพากษ์ วิจารณ์ว่าเคยร่วมกระทำการในลักษณะเข้าข่ายล้มล้าง หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สมัยเคยหนีเข้าป่าเมื่อ 50 ปีก่อน การกระทำการดังกล่าวไม่อาจยกเลิกเพิกถอนได้ แม้นายภูมิธรรมจะบอกอย่ารื้อฟื้นอดีตสมัยเข้าป่า ประกอบกับต้องรู้ว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 21/2567 มีผลผูกพัน ครม.ด้วย ดังนั้น การเสนอชื่อนายภูมิธรรมเป็น รมว.กลาโหม จึงมีเหตุอันควรขอให้ กกต. ตรวจสอบว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายก รัฐมนตรี มีเหตุสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160 (4) (5) หรือไม่
“เด็จพี่” ฉะม็อบหน้าเดิมถ่วงรั้ง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กลุ่มม็อบเจ้าเก่าขาประจำ เครือข่ายค้าความขัดแย้ง ที่มีไอ้โม่งชักใยคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เริ่มออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลอีกแล้ว แค่เห็นหน้าเห็นชื่อไม่ต้องเดาว่าต้องการอะไร เจตนาปั่นป่วนขัดขวางการทำงานและล้มล้างรัฐบาล มาถึงวันนี้ยังไม่หยุดใช้วิธีการเดิม ถ่วงรั้งการพัฒนา ประเทศเพื่อนบ้านเขาเจริญไปไหนต่อไหนแล้ว สงสารประเทศไทยและคนไทย ที่ต้องมาติดกับดักความขัดแย้งไม่รู้จบสิ้น กติกาประเทศไทยคือประชาธิปไตย รู้กันทั่วไปชัดเจน ใครอยากมีอำนาจต้องลงสนามเลือกตั้ง ประชาชนเป็นคนตัดสิน ทุกๆ 4 ปี เย็นให้พอ รอให้ได้ หรือว่ารอไม่ไหวพรุ่งนี้ ปีนี้จะตายแล้วหรืออย่างไร อยากขอให้ทุกคนเคารพกติกาประชาธิปไตย แต่มีพวกที่ต้องการทำให้ยาก ประชาชนต้องสำรวจพฤติกรรม และประณามพวกคนเหล่านี้ที่ไม่เห็นหัวประชาชน ไม่สนความเจริญประเทศชาติ
“อดุลย์” ขอนายกฯโชว์ภาวะผู้นำ
นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ผู้ก่อตั้งสภาที่ 3 และประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’ 35 กล่าวว่าขอให้ ครม.น้อมนำพระบรมราโชวาทของในหลวง เป็นแนวทางทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชนอย่างเคร่งครัด และขอให้นายกฯแสดงภาวะการนำด้วยตัวเอง อย่าเป็นรัฐบาลเปลือกหอยมีคนคอยครอบงำบงการ เพื่อเป็นรัฐบาลแห่งความหวังแก้ปัญหาของประเทศได้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ พลังงาน ปากท้อง ส่วนนโยบายให้ต่างชาติเช่าซื้อที่ดินถึง 99 ปี ต้องทบทวน ทำด้วยความรอบคอบ ส่วนนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่เหมาะกับสังคมไทย การหาเงินเข้าประเทศไม่ควรมาจากเงินบาป แค่ลดโกงกินบ้านเมือง อย่าคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ก็เหลือเงินมาพัฒนาประเทศ ส่วนกรณีนิรโทษกรรมคดีการเมืองนั้น รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ ยกเว้นคดี 112 อย่าดันทุรังจะเกิดความขัดแย้งรอบใหม่ รอเสนอนิรโทษกรรมรอบใหม่ถึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับประเทศไทย
โพลชี้คนใต้ไม่ปลื้ม ปชป.ร่วม รบ.
นิด้าโพล เปิดผลสำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง “เสียงพี่น้องชาวใต้ถึงพรรคประชาธิปัตย์” สำรวจประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีสิทธิเลือกตั้งใน 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 1,310 ตัวอย่าง สอบถามความเห็นเรื่องการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ ในการเข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 54.19 ไม่เห็นด้วยเลย รองลงมาร้อยละ 14.58 ไม่ค่อยเห็นด้วย เมื่อถามว่าเลือกพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ พบว่าร้อยละ 41.37 ไม่เลือก รองลงมาร้อยละ 41.15 ยังไม่แน่ใจ และร้อยละ 17.48 ยังเลือก
แฟนคลับ พท.หนุน “ครม.อิ๊งค์”
ด้านซูเปอร์โพล เปิดผลสำรวจความเห็น “รัฐบาลใหม่ ครม.ใหม่ ในความเห็นประชาชน” สอบถามประชาชน 2,078 ตัวอย่าง ในกลุ่มคนเคยเลือกพรรคเพื่อไทย พบว่า ร้อยละ 81.2 เห็นด้วยกับรัฐบาลใหม่ มีร้อยละ 18.8 ไม่เห็นด้วย ส่วนกลุ่มคนที่เคยเลือกพรรคอื่น ร้อยละ 75.6 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 24.4 เห็นด้วย เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในด้านต่างๆ พบว่า ร้อยละ 42.6 เชื่อมั่นด้านสาธารณสุข การดูแลสุขภาพประชาชน รองลงมาร้อยละ 33.7 เชื่อมั่นด้านซอฟพาวเวอร์ การฟื้นฟูการท่องเที่ยว ร้อยละ 33.2 เชื่อมั่นด้านการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนความเชื่อมั่นว่ารัฐบาล น.ส.แพทองธาร จะอยู่ครบเทอมหรือไม่ ร้อยละ 62.0 ค่อนข้างเชื่อมั่นถึงเชื่อมั่นมากที่สุด ร้อยละ 38.0 ไม่ค่อยเชื่อมั่นถึงไม่เชื่อมั่นเลย
“เท้ง–ทิม” ลุยช่วย “โฟล์ค” โค้งท้าย
ช่วงเช้าที่ตลาดใต้ ตลาดเทศบาล 1 อ.เมืองพิษณุโลก นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมแกนนำสำคัญพรรค และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ช่วยนายณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์ “โฟล์ค” ผู้สมัคร สส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคประชาชน เดินหาเสียงตลาดเช้าที่ถือว่าคึกคักมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองสองแคว บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีบรรดาพ่อค้า แม่ค้าและประชาชนผู้มาจับจ่ายซื้อของเข้ามาขอถ่ายรูปคู่กับนายพิธา จนตลาดแทบแตก กระทั่งเวลา 08.00 น. ทางตลาดได้เปิดลำโพงเครื่องขยายเสียงให้ประชาชนได้หยุดกิจกรรมชั่วขณะ เพื่อยืนตรงเคารพธงชาติ ทำให้ทีมหาเสียง ประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอย และพ่อค้า แม่ค้า พากันยืนตรงเคารพธงชาติพร้อมกัน
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่