ถ้าจะจับบรรยากาศและอารมณ์ของสถานการณ์ของ 2 คดีการเมืองที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยนั้นค่อนข้างจะต่างกันมาก
คดียุบพรรค “ก้าวไกล” ในวันที่ 7 ส.ค.67 แม้ทีมงานจะพยายามดิ้นสู้ทุกรูปแบบ ด้วยการหาวิธีการต่างๆ หรือแม้กระทั่งการดึงบุคคลให้มาเป็นพยาน
แรกๆก็ดูท่าจะมีน้ำหนักแต่ยิ่งใกล้วันชี้ขาด ก็แทบจะไม่มีความหมาย
พูดง่ายๆว่าสู้ไปถอยไป จนติดมุมสุดท้ายก็ต้องยอมรับโดยปริยาย ว่าเป็นเรื่องยากจึงต้องเดินแผนสอง คือตั้งพรรคใหม่เพื่อรองรับ
นี่วัดจากบรรดาแกนนำและผู้สนับสนุน จนรู้สึกว่าแนวโน้มจะเป็นแบบนั้น
คดีถอดถอนนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ที่แต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะขาดคุณสมบัติ
นี่ก็วัดจากคนเป็นต้นเรื่องและกองเชียร์เหมือนกัน เริ่มแรกดูเหมือนจะหวั่นไหวมาก เพราะไม่แน่ใจหรือมั่นใจว่าจะสู้ได้
แต่พอไปดึง “วิษณุ เครืองาม” มาเป็นที่ปรึกษาให้คำชี้แนะเพื่อสู้คดีนี้สถานการณ์จึงเปลี่ยนไป โดย “เศรษฐา” นั้นผ่อนคลายลงไปมาก
คล้ายกับได้ “ยาดี” ทำให้ได้ใจและพร้อมสู้เต็มที่
พูดง่ายๆว่าต้นร้ายแต่ปลายดี...ทำนองนั้น
คือมีความมั่นใจมากขึ้นว่าจะชนะและรอดพ้นจากการถอดถอน ยิ่ง “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มีบารมีเหนือนายกรัฐมนตรีได้แสดงตนอย่างชัดเจนว่า ไม่น่ามีปัญหาเพราะไม่มีเจตนา อีกทั้งได้เดินเกมปิดกั้นไม่ให้ใครมาล้มเก้าอี้ได้
โดยเฉพาะการชี้เป้าไปที่คนในบ้านป่า
นั่นยิ่งเห็นได้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยว่าได้ยื่นคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อยไปแล้วพร้อมทั้งย้ำกับนักข่าวว่าอย่ามองแง่ร้ายว่าจะมีการตั้งนายกรัฐมนตรีสำรอง
...
คำตอบนี้แสดงถึงความมั่นใจมากขึ้น
คำถามก็คือมีอะไรดีถึงมั่นใจขนาดนี้!
คำตอบก็คือคำชี้แจงดังกล่าวได้อ้างถึงบันทึกของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญชุด “มีชัย ฤชุพันธุ์” ที่เชื่อว่าจะล้างข้อกล่าวหาได้
สรุปก็คือเป็นการกระทำที่ “บกพร่อง” โดยสุจริต
เพราะนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ใช่นักกฎหมายแต่เป็นนักธุรกิจจึงไม่รู้ถึงรายละเอียดในเรื่องนี้ ทั้งคดีนี้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะชี้ผิด-ถูก
ที่สำคัญก็คือศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้วินิจฉัยว่า “พิชิต” ขาดคุณสมบัติหรือไม่ เพราะได้ลาออกไปก่อนหน้านี้
ทำให้ไม่รู้ได้ว่าขาดคุณสมบัติหรือไม่?
ว่ากันตรงๆก็คือไม่ใช่ความผิดของ “เศรษฐา” แต่เป็นความผิดขององค์ประกอบอื่นๆ จึงไม่ใช่เรื่องของเจตนา
ก็ต้องยกประโยชน์ให้ “จำเลย” ไป นี่เป็นเหตุผลที่ชี้ช่องให้ผู้ถูกร้องนำไปต่อสู้คดี จึงทำให้มั่นใจว่าไม่มีความผิดแต่อย่างใด
คำว่า “บกพร่อง” โดยสุจริตนั้นคงเคยได้ยินกันมาแล้ว สมัยที่ “ทักษิณ” เคยถูกร้องคดี “ซุกหุ้น” แต่ก็พ้นผิดมาได้ จนได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ก็คงทำนองเดียวกัน
เพียงแต่คนละคนและคนละชุดของแต่ละยุคสมัยเท่านั้น!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ "กล้าได้กล้าเสีย" เพิ่มเติม