“อ.ยุทธพร” นักวิชาการรัฐศาสตร์ ระบุ กฤษฎีกาพิจารณาคุณสมบัติ “พิชิต ชื่นบาน” ครบถ้วน มอง คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นบรรทัดฐาน หากไม่ชัดจะก่อให้เกิดการตีความหลากหลาย แนะ สว.รักษาการ ทำงานเท่าที่จำเป็น

วันที่ 3 มิถุนายน 2567 รศ.ยุทธพร อิสรชัย นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงกรณีที่ นายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เคยถูกคดีละเมิดอำนาจศาลฎีกา ว่า การที่ไม่สามารถขออุทธรณ์ได้ เป็นสิ่งที่เกิดคำถามถึงหลักนิติธรรมในการให้โอกาสกับบุคคลในการอุทธรณ์ และในกรณีนี้หากไม่ชัดเจนก็ไม่สามารถบอกได้ว่าบุคคลใดทำผิดจริงหรือไม่  

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงการสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกา กรณี นายพิชิต ไม่ครบถ้วนนั้น รศ.ยุทธพร ยืนยันว่าสอบถามครบถ้วน เป็นการถามเรื่องคุณสมบัติรัฐมนตรี ตามมาตรา 160 ในรัฐธรรมนูญ โดยในรัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้เกินกว่า 10 ปี ให้ถือว่าสามารถดำรงตำแหน่งได้ ซึ่งกรณีนายพิชิต 15 ปี โดยเมื่อดูในรายละเอียดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีการเชื่อมโยงอะไรถึงตัว นายพิชิต 

สำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แม้จะไม่รับเรื่องของ นายพิชิต แต่การพิจารณาจะเกี่ยวพันกัน และสิ่งสำคัญต้องพิจารณาว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อผูกพันทุกองค์กรที่ต้องปฏิบัติตาม เมื่อศาลรับเรื่องแล้ว คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นบรรทัดฐาน หากไม่วางให้ชัดเจนจะก่อให้เกิดการตีความที่หลากหลายและอาจจะถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นทางการเมืองจนทำให้เกิดเป็นปัญหาในอนาคต 

“การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะบอกว่าเมื่อศาลฎีกาฯ มีคำสั่งแล้วในการละเมิดอำนาจศาลไม่ให้อุทธรณ์ต่อ แล้วศาลรัฐธรรมนูญจะนำมาใช้เลย อาจเกิดคำถามต่อกระบวนการในการใช้กฎหมายหรือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ ขณะเดียวกัน อาจมีผลในทางการเมือง หากศาลไม่พิจารณาไตร่ตรองให้ละเอียดรอบคอบ ท้ายที่สุดศาลจะเป็นคู่ขัดแย้ง การใช้กฎหมายให้กลายเป็นการเมืองจะทำให้สถานการณ์การเมืองบานปลายต่อไป เพราะวันนี้ทุกอย่างกำลังไปได้ กำลังพัฒนาประชาธิปไตย หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง สถานการณ์การเมืองจะย้อนกลับไปที่เดิม และส่งผลกระทบกับด้านอื่นๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ สังคม”  

...

รศ.ยุทธพร ยังระบุด้วยว่า บทบัญญัติของกฎหมายในหลายเรื่องยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งกรณีที่มีผู้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ คำร้องได้พูดถึงเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ชัด แต่ในแง่ของข้อกฎหมายยังไม่สามารถชี้ได้ชัดถึงความหมายของคำว่าซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ชัดกินความได้แค่ไหน  

ทั้งนี้ ประเด็นของ นายพิชิต ที่พูดถึงเรื่องของคุณสมบัติ ได้มีทั้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ตรวจสอบคุณสมบัติในการที่จะเสนอชื่อคนที่จะเป็นรัฐมนตรี ซึ่งขั้นตอนเหล่านั้นเป็นขั้นตอนของฝ่ายข้าราชการประจำที่ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ดังนั้นในเรื่องนี้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินโดยไม่ทำให้เกิดความกระจ่างชัด อนาคตจะกลายเป็นบรรทัดฐาน อีกทั้งเป็นกรณีตัวอย่างที่สำคัญว่าเราจะใช้กฎหมายกับบุคคลโดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรม ก็จะไม่เป็นธรรมกับ นายพิชิต หรือกับใครก็ตาม

รศ.ยุทธพร เผยต่อไปว่า กรณีนายพิชิต ที่ถูกติดคุกเป็นคำสั่งศาล ไม่ใช่ทั้งคดีแพ่งและอาญา เป็นกฎหมายไม่มีในวิธีสบัญญัติ ไม่ใช่คำพิพากษา และเรื่องของคำสั่งศาล ถ้าโดยหลักนิติธรรมแล้วจะต้องมีกระบวนการในการที่จะขออุทธรณ์ได้ แต่ปรากฏว่า นายพิชิต ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ เพราะศาลกล่าวว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นที่ศาลฎีกา จึงเกิดคำถามว่าตกลงแล้วเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือไม่   

อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญ หากไม่มีความชัดเจน หรือมีประเด็นที่มีข้อสงสัย ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะมีการสั่งให้ไต่สวนเพื่อความชัดเจนว่า นายพิชิต เกี่ยวข้องหรือไม่ โดยเรื่องนี้สามารถทำได้ เนื่องจากคำสั่งศาลต่างๆ ไม่ได้ผูกพันกับศาลรัฐธรรมนูญ 

ขณะเดียวกัน รศ.ยุทธพร ยังกล่าวถึงการทำหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 250 คน ที่สังคมมองว่าหมดวาระไปแล้ว อยู่ในช่วงรักษาการ คือทำงานในเท่าที่จำเป็น และกระบวนการในการตรวจสอบควรจะต้องให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่มาจากการเลือกตั้งตรวจสอบกันเอง และการยื่นคำร้องตามมาตรา 82 ต่อศาลรัฐธรรมนูญ สส. ก็สามารถทำได้.