ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้อยู่ในช่วงหยุดยาวเพื่อเฉลิมฉลองวันมหาสงกรานต์ ซึ่งเป็นวันปีใหม่ของไทย
ปีนี้รัฐบาลได้จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อให้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะให้สงกรานต์เป็นเทศกาลที่โด่งดังในระดับโลก
กำหนดให้มีการสาดน้ำ 21 วัน เรียกว่าเกือบตลอดเดือนก็ว่าได้ เป็นการสืบสาน ประเพณีและส่งเสริมการท่องเที่ยว
พูดง่ายๆว่าใน 1 ปี “สงกรานต์” จะเป็นวันสำคัญวันหนึ่งที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจะมาเมืองไทย เพื่อร่วมงานนี้
“สงกรานต์” ถือเป็น 1 ใน 12 เทศกาลที่เป็นนโยบายของรัฐบาล
แล้วคนใหญ่คนโตของบ้านเมืองเขาไปที่ไหนกันบ้าง?
“เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี แว่บไปหัวหินเพื่อร่วมฉลองกับครอบครัว หลังจากเปิดให้บรรดารัฐมนตรีรดน้ำดำหัวที่ทำเนียบรัฐบาลผ่านพ้นไปแล้ว
“ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มีบารมีเหนือนายกรัฐมนตรี ขึ้นเหนือไปเชียงใหม่บ้านเกิด เพราะเป็นพื้นที่สำคัญหลายอย่าง
นอกเหนือจากต้นกำเนิดของ “สงกรานต์” แล้ว ยังเป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมืองที่จะต้องปลุกเร้าคนเชียงใหม่ให้เลือก “เพื่อไทย” ของคนเชียงใหม่ด้วยกัน
แม้การเลือกตั้งต้องรออีก 3 ปีกว่า แต่ต้องทำคะแนนตั้งแต่ต้นมือ เพราะจำนวน สส.ในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นของ “ก้าวไกล” คู่แข่งสำคัญ
เป็นอันว่า 2 ผู้ยิ่งใหญ่แยกกันไปคนละ จังหวัด
เพื่อหวังผลในพื้นที่ที่กว้างขึ้นไม่ซ้ำรอยกัน
ในห้วงเวลานี้ในฐานะที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบบ้านเมืองทุกเรื่อง ต้องทำการบ้านล่วงหน้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกัน 2,000 กว่ากิโลเมตร
...
“เมียนมา” หรือ “พม่า” ที่กำลังเกิดปัญหาใหญ่!
เนื่องจากรัฐบาลทหารของเมียนมาภายใต้ผู้นำทหารที่ยึดอำนาจมาจากรัฐบาล “อองซาน ซูจี” กำลังเพลี่ยงพล้ำอย่างหนัก
ล่าสุดกลุ่มชาติพันธุ์ภายใต้การนำของกองกำลังสหภาพกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) และกลุ่มกะเหรี่ยงเคเอ็นยูพีซีและกองกำลังปกป้องประชาชน (พีดีเอฟ) ได้ยึดเมียวดี ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแม่สอดของไทย
มีการประเมินกันว่าเมียวดีจะเป็นจุดเริ่มต้นในลักษณะโดมิโนที่ทำให้เมืองอื่นๆ ถูกกลุ่มชาติพันธุ์ยึดครองได้ทั้งหมด
อันหมายถึงความพ่ายแพ้ของรัฐบาลทหาร
แม้ไทยจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง เพราะยึดแนวทางเป็น “กลาง” คือมีสัมพันธ์กับทุกฝ่าย แต่เนื่องจากมีชายแดนที่ติดต่อกันยาวมาก
ไม่ยุ่งก็ต้องยุ่ง...
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงต้องตั้งหลักให้ดี จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างนี้
อย่างหนึ่งก็คือการรักษาอธิปไตยของชาติไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรุกล้ำ แต่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเกิดสงครามอย่างนี้
การอพยพหนีภัยย่อมเกิดขึ้นแน่ จึงต้องเตรียมแผนต่างๆเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะทำอย่างไรกับผลที่จะเกิดขึ้นตามมา
ประเด็นที่สำคัญก็คือ
เมื่อสถานการณ์เป็นไปอย่างนี้ ทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องมีการเจรจาว่าจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องเฉพาะ 2 ฝ่ายนี้แล้ว
แต่จะเป็นเรื่องระดับโลกขึ้นมาทันที
เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็มีชาติมหาอำนาจ หนุนหลังอยู่ ที่ผูกพันอย่างแยกไม่ออก ก็คืออาเซียน ซึ่งเมียนมาเป็นชาติสมาชิกอยู่ด้วย
ฐานะประเทศไทยจึงต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย เพียงแต่จะมี “จุดยืน” อย่างไรเท่านั้น
ผลอีกอย่างหนึ่งที่แยกไม่ออก ก็คือ “ยาเสพติด” ที่ไทยจะต้องยกเป็นประเด็นในหัวข้อเจรจาด้วย เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่สร้างปัญหากับไทยมายาวนานแล้ว
รัฐบาลต้องมีคำตอบในใจแล้วว่า จะทำอย่างไร เพราะเชื่อว่าอีกไม่นานคงไปถึงจุดนั้น!
“ลิขิต จงสกุล”