เผลอแป๊บเดียว...เหลืออีก 9 วัน จะสิ้นปี

เผลอแป๊บเดียว...เรือหลวงสุโขทัยอับปางกลางอ่าวไทย ทำให้กำลังพลเสียชีวิต 24 นาย และยังสูญหายอีก 5 นาย ผ่านไปครบ 1 ปี!!

แต่วันนี้เรือหลวงสุโขทัย เรือรบชั้นนำระดับท็อปไฟว์ของกองทัพเรือยังจมอยู่ในความลึก 50 เมตร กลางอ่าวไทยในสภาพเดิม

ยังไม่ได้ถูกกู้ขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงให้หมดสิ้นข้อสงสัยว่า เหตุใดเรือรบที่สามารถสู้คลื่นยักษ์กลางมหาสมุทรได้อย่างสบายๆ จึงเกิดเหตุน้ำท่วมจนเรือจม??

เมื่อเรือหลวงสุโขทัย ซึ่งเป็น “วัตถุพยานสำคัญ” ยังคงจมอยู่ก้นอ่าวไทย ข้อสงสัยต่างๆ จึงยังไม่มีคำตอบที่แท้จริง

ยังหาข้อยุติไม่ได้ว่าเกิดจากความบกพร่องของเรือ??

หรือความผิดพลาดของคน??

ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า เหตุใด เรือรบที่มีอัตรากำลังพล 76 นาย จึงมีผู้โดยสารเกินไปถึง 106 นาย??

เหตุใด เสื้อชูชีพประจำเรือจึงไม่พอกับกำลังพลที่เกินมาอีก 30 คน??

เหตุใด เรือเข้าจอดที่ท่าบางสะพานแล้วกลับต้องเร่งเดินทางกลับชลบุรีในขณะที่สภาพดินฟ้าอากาศไม่อำนวย??

และคำถามอื่นๆ อีกหลายประเด็นที่สังคมยังไม่ได้รับคำตอบจากกองทัพเรือ

ทุกอย่างจะกระจ่างแจ้งก็ต่อเมื่อมีการกู้เรือสุโขทัยขึ้นจากก้นอ่าวไทย!!

“แม่ลูกจันทร์” สรุปย่อๆ กันลืมว่าเรือหลวงสุโขทัยเป็นเรือคอร์เวตที่กองทัพเรือไทยสั่งต่อจากอเมริกาและขึ้นระวางประจำการมาแล้ว 35 ปี

เรือหลวงสุโขทัยเป็นเรือรบชั้นนำของกองทัพเรือ

เพราะสามารถปฏิบัติการรบครบ 3 มิติ ทั้งบนผิวน้ำ บนอากาศ และใต้ทะเล

เป็นเรือรบหมัดหนัก เพราะติดตั้งจรวดนำวิถีฮาร์พูน

มีจรวดต่อสู้อากาศยาน “อัลบาทรอส” สำหรับสอยเครื่องบินรบของศัตรู

...

มีแท่นยิงตอร์ปิโด 2 แท่น สำหรับเล่นงานเรือดำน้ำโดยตรง ฯลฯ

การที่เรือหลวงสุโขทัยจมทะเลอ่าวไทยจึงเป็นความเสียหายอย่างมหาศาลของกองทัพเรือ

“แม่ลูกจันทร์” เรียกร้องให้เร่งกู้เรือสุโขทัยขึ้นมาตรวจสอบเพื่อหาคำตอบที่ถูกต้องแท้จริง

หากทิ้งให้เรือหลวงสุโขทัยจมต่อไปนานๆ สภาพเรือก็จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

หากไม่รีบกู้ขึ้นมาจากใต้น้ำ อุปกรณ์ต่างๆ ที่อาจซ่อมแซมให้กลับใช้งานใหม่ได้ก็จะหมดโอกาสไป

ปัญหาใหญ่อยู่ที่งบประมาณจ้างบริษัทผู้เชี่ยวชาญมากู้เรือสุโขทัยจากก้นอ่าวไทยในสภาพสมบูรณ์คาดว่าจะใช้งบราว 200 ล้านบาทโดยประมาณ

“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่าควรเร่งกู้เรือสุโขทัยขึ้นมาค้นหาความจริง

แม้งบค่าจ้างกู้เรือ 200 ล้านบาทจะโคตรแพง

แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ควรต้องจ่ายนะโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

คลิกอ่านคอลัมน์ “สำนักข่าวหัวเขียว” เพิ่มเติม