“เศรษฐา” โชว์วิชั่นเวทีสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ มุ่งมั่นอาเซียน-ญี่ปุ่นเข้มแข็ง ยกมหามิตรญี่ปุ่นคือ “หุ้นส่วนแบบใจถึงใจ” ชูแลนด์บริดจ์เชื่อมโยงไร้รอยต่อ ขอเป็นศูนย์กลางผลิตรถอีวี ผนึกกำลังลุยธุรกิจอีคอมเมิร์ซ-เอไอ ชูหน้ากากเสือ-กาโม่ แม่แบบซอฟต์พาวเวอร์ ถกทวิภาคีนายกฯญี่ปุ่นชื่นมื่น ได้เหล้าอะวาโมริกระชับสัมพันธ์ ยกเว้นวีซ่านักธุรกิจญี่ปุ่นเข้าไทยระยะสั้น จ่อรื้อฟื้นจัดวง ครม.ไทย-เวียดนาม เชื่อมท่องเที่ยวอุษาคเนย์ ชาวนาได้เฮอินโดฯสั่งซื้อข้าว 2 ล้านตัน ปิดฉากชื่นมื่นเปิดไฟฉลองสัมพันธ์ครบ 50 ปี สว.แซะนายกฯถึงไหว้สวยก็อยู่ยาก ซัดปาหี่แก้หนี้นอกระบบ มท.เปิด 18 กล่องของขวัญปีใหม่ รอ ครม.เคาะ “อภิสิทธิ์” วาดหวัง ปชป.กลับมาเป็นสถาบัน โพลหนุนขึ้นเงินเดือน ขรก.-ค่าแรงขั้นต่ำ
ภารกิจในการเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ อาเซียน-ญี่ปุ่น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุม เน้นย้ำถึงความพร้อมในการยกระดับความร่วมมือของชาติในกลุ่มอาเซียน ประเทศไทย และญี่ปุ่น ที่มุ่งไปสู่อนาคต ร่วมกัน

...
มุ่งมั่นอาเซียน-ญี่ปุ่นเข้มแข็ง
เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 17 ธ.ค. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโตเกียว เร็วกว่า กทม. 2 ชั่วโมง) ณ โรงแรม Okura Tokyo นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ช่วงที่ 1 Plenary Session ในหัวข้อ Review of ASEAN-Japan relations และ Partners for Peace and Stability & Regional and International Issues ว่า ขอบคุณนายกฯญี่ปุ่นกับการต้อนรับที่อบอุ่น สะท้อนความสัมพันธ์ที่โดดเด่นมาตลอด 50 ปี แสดงถึงความสำเร็จ ความเป็นพันธมิตรที่ได้รับความไว้วางใจ นำสันติภาพ เสถียรภาพ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมาสู่ภูมิภาค การกำหนดทิศทางอาเซียน-ญี่ปุ่นเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติและความเปราะบางของสันติภาพโลก รวมทั้งความมั่นคงในภูมิภาคที่เกี่ยวโยงกัน จำเป็นต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐศาสตร์ และภูมิเทคโนโลยี รัฐบาลไทยมุ่งมั่นบทบาทเชิงรุกมากขึ้นในภูมิภาค และเวทีระหว่างประเทศ รวมถึงความเข้มแข็งและเป็นเอกภาพอาเซียน มุ่งสู่วิสัยทัศน์ร่วมกันของภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่เสรี
ชูแลนด์บริดจ์เชื่อมโยงไร้รอยต่อ
นายเศรษฐายังนำเสนอประเด็นความร่วมมือในอนาคตเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน 3 ประการ ดังนี้ ประการแรก การบูรณาการความร่วมมือระดับภูมิภาคที่ก้าวหน้า ทุกฝ่ายจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น และความตกลง RCEP อย่างเต็มที่ เพื่อเชื่อมโยงตลาดที่มีศักยภาพ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ความร่วมมือภายใต้กรอบอนุภูมิภาคต่างๆ เช่น ACMECS และความร่วมมือแม่โขง-ญี่ปุ่น ลดช่องว่างการพัฒนา และสร้างขีดความสามารถระดับภูมิภาคเพื่อการเติบโตที่ครอบคลุมมากขึ้น ขณะนี้ไทยกำลังพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ เชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทร แปซิฟิก ไทยยินดีร่วมมือกับทุกพันธมิตรที่สนใจทั้งภาครัฐและเอกชน
ขอเป็นศูนย์กลางการผลิตอีวี
นายกฯกล่าวต่อว่า ประการที่สอง การพัฒนาที่ยั่งยืนและการเติบโตสีเขียว ไทยยินดีสนับสนุนข้อริเริ่ม Asia Zero Emission เร่งรัดการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของอาเซียน ยินดีที่ญี่ปุ่นริเริ่มและ มีบทบาทส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสีเขียวของอาเซียนด้วย ไทยมุ่งมั่นจะเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดชั้นนำ และเป็นศูนย์กลางการผลิต EV เตรียมออกตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน ประการที่สาม ความมั่นคงด้านสุขภาพ การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ตระหนักถึงความมั่นคงทางสุขภาพ ชื่นชมที่ญี่ปุ่นสนับสนุนเงิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้กับศูนย์อาเซียนว่าด้วยสาธารณสุขฉุกเฉินและโรคอุบัติใหม่ หรือ ACPHEED เพื่อเสริมสร้างการตอบสนองด้านสาธารณสุขในภูมิภาค รวมถึงยินดีที่ไทยและญี่ปุ่นร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ส่งเสริมประกันสุขภาพถ้วนหน้าในระดับโลก หวังจะนำไปสู่ระบบสาธารณสุขที่มีความเท่าเทียมและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
ยกคำคม “เดินกับมิตรที่มืดมิด”
นายเศรษฐากล่าวว่า เราจำเป็นต้องกระชับความร่วมมือแก้ปัญหาความไม่แน่นอนในความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ นำไปสู่สันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคและต่อโลก ทั้งสงครามในยูเครนสถานการณ์ตะวันออกกลาง ส่วนสถานการณ์ในเมียนมาที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไทยหวังทุกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้ต่อการสร้างความสงบสุข ในฐานะเพื่อนบ้านพร้อมแสดงบทบาทนำช่วยเหลือเมียนมา นำไปสู่การดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน หวังช่วยสร้างพื้นที่การเจรจามากยิ่งขึ้น ทั้งในเมียนมาและในกรอบของอาเซียน เชื่อมั่นว่าอาเซียนและญี่ปุ่นจะร่วมมือกับไทยในเรื่องนี้ ดังสุภาษิตที่ว่า “การเดินกับมิตรในความมืดมิด ยังดีกว่าเดินลำพังในแสงสว่าง”
ตอกย้ำ “หุ้นส่วนแบบใจถึงใจ”
ต่อมาเวลา 11.50 น. นายเศรษฐาเข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในฐานะประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ในการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษฯ ช่วงที่ 2 การหารือระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน ภายใต้หัวข้อ “Heart to Heart Partners across Generations” ว่า ขอเน้นย้ำการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนแบบ ใจถึงใจ (Heart-to-Heart Partnership) ผ่านการแลกเปลี่ยนในระดับประชาชน ญี่ปุ่นถือเป็นพันธมิตรที่ไทยให้ความไว้วางใจมาก โดยเฉพาะการเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างประชาชนจากรุ่นสู่รุ่น ต้องคำนึงถึงค่านิยมและทัศนคติที่แตกต่างกันของคนหนุ่มสาว ใช้ความคิดสร้างสรรค์ส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับประชาชน
ยกหน้ากากเสือซอฟต์พาวเวอร์
นายกฯยังกล่าวถึงโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ส่งเสริมมิตรภาพเยาวชนไทยและอาเซียน รวมถึงแอนิเมชันญี่ปุ่น ที่สร้างแรงบันดาลใจ ความเข้าใจในวัฒนธรรมญี่ปุ่น และปลูกฝังค่านิยมเชิงบวก เติบโตมาพร้อมกับตัวการ์ตูนหน้ากากเสือ (Tiger Mask) และกาโม่มนุษย์กายสิทธิ์ (Specter-man) ถือเป็นซุปเปอร์ฮีโร่กลุ่มแรกๆของโลก ที่สร้างแรงบันดาลใจให้หลายคนมุ่งมั่นทำงานเพื่อโลกที่ดีขึ้น และสงบสุข รัฐบาลไทยตระหนักถึงศักยภาพภาคอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และซอฟต์พาวเวอร์ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เรามีอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่กำลังเติบโต ทั้งการออกแบบ แฟชั่น อาหาร ภาพยนตร์ ดนตรี ศิลปะการแสดง เกม และการสร้างเนื้อหาดิจิทัล ไทยพร้อมร่วมมือกับญี่ปุ่นและอาเซียนพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม
ย้ำ 3 ประเด็นเชื่อมโยงไร้รอยต่อ
จากนั้นเป็นการหารือหัวข้อ Partners for Co-creation and Economy and Society of the Future นายเศรษฐากล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจของญี่ปุ่นใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก คาดว่าอาเซียนจะมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ในปี 2573 อาเซียนและญี่ปุ่นมีศักยภาพมาก ที่จะร่วมสร้างโอกาสใหม่ๆ โดยให้ความสำคัญกับ 3 ประเด็น ดังนี้ ประการแรก การเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ เป็นกุญแจสำคัญปลดล็อกศักยภาพ และส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ไทยสนับสนุน ASEAN-Japan Comprehensive Connectivity Initiative เพื่อเสริมสร้างการเชื่อมโยงทางกายภาพ ดิจิทัล และความรู้ การลงทุนเกือบ 3 ล้านล้านเยนของญี่ปุ่นในโครงสร้างพื้นฐานในอาเซียน ถือเป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของญี่ปุ่น โครงการแลนด์บริดจ์ของไทยถือเป็นวิสัยทัศน์ในการพัฒนาความเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค และไทยยินดีต้อนรับนักลงทุนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้
ผนึกลุยธุรกิจอีคอมเมิร์ซ-เอไอ
ประการที่สอง การเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและเร่งการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ทั้งสองฝ่ายสามารถได้ประโยชน์จากการแบ่งปันความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดจากกัน เปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ไทยขอเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนเพิ่มเติมในการพัฒนาระบบนิเวศ EV ในอาเซียน รวมไปถึงพลังงานไฮโดรเจน และแอมโมเนียมากขึ้น โดยเฉพาะญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรด้านยานยนต์มายาวนาน ประการที่สาม การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ถือเป็นตัวเปลี่ยนสถานการณ์การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการเติบโตอย่างยั่งยืนที่แท้จริง ปัจจุบันอาเซียนกำลังศึกษากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน ถือเป็นกรอบข้อตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาคฉบับแรกของโลก และด้วย DEFA คาดอาเซียนจะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค 2 เท่าเป็น 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2573 ไทยยินดีร่วมมือกับญี่ปุ่นด้านอีคอมเมิร์ซ รวมถึงการไหลของ ข้อมูลข้ามพรมแดน การปกป้องข้อมูล และการกำกับดูแล AI เชื่อมั่นว่าจะเป็นกลไกการเติบโตใหม่ เพื่อสร้างสังคมที่เจริญรุ่งเรือง

ถกทวิภาคีนายกฯญี่ปุ่นชื่นมื่น
เวลา 15.40 น. ที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กรุงโตเกียว นายเศรษฐาหารือทวิภาคีกับนายคิชิดะ ฟูมิโอะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายเศรษฐากล่าวย้ำถึงการส่งเสริมการลงทุน ไทยจะออกมาตรการยกเว้นวีซ่าให้นักธุรกิจญี่ปุ่นเข้าไทยเพื่อติดต่อธุรกิจระยะสั้น หวังได้ร่วมมือกับญี่ปุ่นด้านซอฟต์พาวเวอร์ ในโครงการ OTOP หวังว่าจะมีนักลงทุนและแรงงานทักษะสูงด้านดิจิทัลจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนเพิ่ม โดยเฉพาะ สาขา Data Center ขนาดใหญ่ และบริการคลาวด์คุณภาพสูง ยินดีร่วมมือเพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ตามกรอบพันธมิตรเอเซค (AZEC) กับญี่ปุ่น และไทยสนใจจะสมัครเข้าองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
ขอบคุณไทยยกเว้นวีซ่านักธุรกิจ
ด้านนายคิชิดะ ฟูมิโอะ กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ยกเว้นวีซ่าให้นักธุรกิจญี่ปุ่น ทำให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนในไทย พร้อมเสนอจัดตั้งกลไก Energy and Industrial Dialogue กับไทย เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านพลังงานและอุตสาหกรรม ขณะที่ในส่วนของความสัมพันธ์ระดับภูมิภาค ผู้นำทั้งสองได้หารือถึงสถานการณ์ในเมียนมาอย่างสร้างสรรค์ ไทยกำลังหารือกับเมียนมาเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และขอให้ญี่ปุ่นมาร่วมสร้างสันติภาพในภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องและมีท่าทีที่สอดคล้องกันที่เห็นว่าทุกฝ่ายควรยุติความรุนแรง และหาทางออกผ่านการหารือ
รื้อฟื้นจัด ครม.ไทย-เวียดนาม
นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงผลการร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่นฯว่า ระหว่างพักการประชุมได้พูดคุยส่วนตัวกับผู้นำประเทศอาเซียน อาทิ กัมพูชา เวียดนาม และอินโดนีเซีย หารือกับนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาหลายเรื่อง ทั้งการสร้างสถานกงสุลที่กรุงเสียมเรียบ ส่วนการหารือร่วมกับนายหวอ วัน เถือง ประธานาธิบดีเวียดนาม เตรียมรื้อฟื้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ร่วมสองประเทศ ทางเวียดนามเสนอให้จัดช่วงเดือน พ.ค.2567 ถือเป็นเรื่องที่ดีในฐานะที่ทั้ง 2 ประเทศเป็นผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลก น่าจะมีการพูดคุยกันเรื่องราคาข้าว และในฐานะไทยมีประสบการณ์สูงในเรื่องการท่องเที่ยว จึงเสนออยากให้ไทย เวียดนาม สปป.ลาว กัมพูชา มาพูดคุยกัน ร่วมเป็นคณะกรรมการโปรโมตการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกัน เสนอว่าการประชุมร่วม ครม.เวียดนาม-ไทย ช่วงเดือน พ.ค.2567 จะให้ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬาจัดประชุมกับรัฐมนตรีท่องเที่ยวทั้ง 4 ประเทศ ทำการบ้านไปก่อน
ชาวนาเฮอินโดฯซื้อข้าว 2 ล้านตัน
นายกฯกล่าวอีกว่า ขณะที่การพูดคุยกับนายโจโก วีโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ปัจจุบันเป็นประธานอาเซียน ทางอินโดนีเซียยืนยันว่าจะซื้อข้าวไทยจำนวน 1 ล้านตันภายในปีนี้ และอีก 1 ล้านตันในปีหน้า แต่เมื่อระยะเวลาเหลือเพียง 20 วันจะสิ้นปี จึงยืนยันจะสั่งข้าวไทย 2 ล้านตันในปีหน้า โดยจะส่งคนมาพบกับ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ช่วงต้นปี 2567 เชื่อว่าจะทำให้ราคาข้าวไทยมีราคาและความต้องการสูงขึ้น เป็นเรื่องที่น่ายินดี นอกจากนี้ประธานาธิบดีอินโดนีเซียยังแจ้งนักธุรกิจของเขาสนใจเรื่องแลนด์บริดจ์ด้วย จะมีการนัดหารือต่อไป
ยกเหล้าอาวะโมริกระชับสัมพันธ์
นายเศรษฐากล่าวว่า ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอาเซียน และเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในไทย พร้อมกันนี้นายกฯญี่ปุ่นยังกล่าวสุนทรพจน์ถึง “เมสซี เจ” นายชนาธิป สรงกระสินธ์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย มาญี่ปุ่นก็ดังมากอยากให้มีแบบนี้อีก ยิ่งทำให้เห็นสิ่งที่บอกว่าใจถึงใจ และยังพูดคุยกับนายกฯญี่ปุ่นว่าไทยสนใจเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ที่มีประเทศใหญ่ๆ เป็นสมาชิกอยู่กว่า 30 ประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย เบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมนี เกาหลี สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่นเชิญให้เราเข้าร่วมประชุมในฐานะผู้สังเกตการณ์ในการประชุมช่วงปีหน้า “การ เดินทางในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมาก และการพูดคุยในวันนี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี” หลังการหารือทวิภาคี นายกฯญี่ปุ่นมอบของขวัญพิเศษเป็นเหล้าอาวะโมริ (Awamori) เป็นเหล้าพื้นเมืองของจังหวัดโอกินาวะ ผลิตจากข้าวไทย เขาทำมากว่า 100 ปีแล้ว เป็นการแสดงว่าเขามีใจให้ไทย
ทำงานเต็มที่เป็นของขวัญปีใหม่
นายเศรษฐายังกล่าวถึงการมอบของขวัญให้ประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า สิ่งที่เราทำทุกวันนี้ในฐานะนายกฯถูกมองว่าเป็นนักการเมือง แต่เชื่อว่าตอนนี้เวลานี้เราไม่ได้มาเล่นการเมือง แต่รู้ว่าเรามาทำการเมืองเพื่ออะไร มาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร เรามาเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน ต้องทำให้ประชาชนอยู่แล้ว ถามว่าของขวัญคืออะไร คือ ครม.ทุกคน ทีมงานทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ประชาชนให้ดีกว่าที่ผ่านมา ถือเป็นคำมั่นก็แล้วกัน คอยดูแล้วกัน บางอย่างก็ถูกใจและบางอย่างยังไม่เพียงพอ เข้าใจได้ถึงความรู้สึก เพราะตอนนี้ยังมีปัญหาอยู่หลายด้าน อะไรที่ทำได้จะทำก่อน หลายเรื่องต้องเก็บข้อมูลมาดำเนินการเพื่อความพร้อม

ภูมิใจซอฟต์พาวเวอร์ “เมสซีเจ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ทวีตข้อความผ่าน X ระบุว่า “วันนี้ในการหารือระหว่างผู้นำอาเซียน-ญี่ปุ่น ในหัวข้อ Heart to Heart Partners across Generations นายคิชิดะ ฟูมิโอะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น สรุปผลการประชุมโดยอ้างคำกล่าวของเมสซีเจ ชนาธิป สรงกระสินธ์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย สมัยค้าแข้งกับทีมคาวาซากิฟรอนตาเลว่า การเข้าร่วมในเจลีกของผม สามารถสรุปได้ด้วยคำสั้นๆเพียงคำเดียว นั่นคือความงดงามครับ ความภูมิใจของ #SoftPower คนไทยครับ”
ชื่นมื่นเปิดไฟฉลองสัมพันธ์ 50 ปี
กระทั่งเวลา 18.10 น.ที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กรุงโตเกียว นายเศรษฐาในชุดผ้าไหมมัดหมี่สีน้ำเงิน จากศูนย์ศิลปาชีพบางไทร เข้าร่วมพิธีเปิดไฟฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น (Pre-Gala Commemorative Lighting Ceremony) ที่ชั้น 33 และชั้น 34 Azabudai Hills อาคาร Mori JP Tower จากนั้นผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนพร้อมคู่สมรส ถ่ายภาพหมู่กับนักเรียนญี่ปุ่น และนักเรียนประเทศสมาชิกอาเซียน และร่วมกันปล่อยโคมไฟลอย LED ตามด้วยการบรรเลงเพลง The ASEAN Way และร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ (Gala Dinner) เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมการประชุมฯ และคู่สมรส โดยนายคิชิดะ ฟูมิโอะ นายกฯญี่ปุ่น และนางคิชิดะ ยูโกะ ภริยา เป็นเจ้าภาพ
เรื่องปกติฝ่ายค้านจ้องติรัฐบาล
นายพชร จันทรรวงทอง สส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล ไม่ประเมินผลงาน 90 วันของรัฐบาล อ้างว่าไม่มีโรดแม็ปที่ชัดเจนว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ รวมถึง ครม.ยังไม่มีใครหยุดทำงาน ค่อยๆทำทุกอย่างตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ทั้งการลดรายจ่ายประชาชน การบริหารการท่องเที่ยวผ่านวีซ่าฟรี การปราบบัญชีม้า ปราบคอลเซ็นเตอร์ ที่นายพิธาพูดเช่นนี้เป็นการดิสเครดิตรัฐบาล เป็นเรื่องธรรมดาของฝ่ายค้าน หากให้นายพิธาชมก็เป็นเรื่องแปลก หน้าที่ฝ่ายค้านต้องหาที่ติ แต่ไม่มีผลอะไร หากผลงานรัฐบาลเป็นที่ประจักษ์ ขอให้เชื่อมั่นรัฐบาล ทุกอย่างที่หาเสียงไว้เริ่มทยอยทำแล้ว
สว.แซะ “เศรษฐา” ไหว้สวยอยู่ยาก
วันเดียวกัน นายวันชัย สอนศิริ สว. โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “อุ๊งอิ๊งมา เศรษฐาไปใช่หรือ” เป็นความกดดันของประชาชนมาก เปลี่ยนรัฐบาลใหม่แล้วคิดว่าเศรษฐกิจชีวิตความเป็นอยู่ การทำมาค้าขายต้องดีขึ้น ถ้าทุกอย่างเหมือนเดิมจะเปลี่ยนรัฐบาลไปทำไม บทหนักจึงตกที่นายกฯเศรษฐา แม้จะสปีดการทำงาน แก้ปัญหาทุกอย่างเต็มที่ แต่ความรู้สึกชาวบ้านยังไม่เห็นว่ามีอะไรเปลี่ยน ยังไม่ไปไหน ได้แต่เห็นความขยันความทุ่มเท ไหว้สวยเท่านั้น ถ้าขืนเป็นเช่นนี้นายเศรษฐาน่าจะอยู่ยาก แม้ว่า
ดวงดาวจะเป็นเทพอุ้มสมก็ตาม คงต้องปรับเปลี่ยนวิธีบริหารจัดการใหม่ ไม่ต้องถึงขั้นเอาอุ๊งอิ๊งมาแทน เพราะจะยิ่งไปกันใหญ่ ถ้ามาเป็นได้คงเอามาเป็นแต่แรกแล้ว ตอนนี้ต้องนายกฯเศรษฐาไปก่อน อุ๊งอิ๊งจะมาเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที ไม่ต้องรีบร้อน
ไม่ครอบงำตอบคำถามประชามติ
นายวันชัยในฐานะเลขานุการวิปวุฒิสภากล่าวถึง การตอบแบบสอบถามรับฟังความเห็นจาก สว.เรื่องแนวทางทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ตามที่คณะอนุกรรมการรับฟังความเห็นแนวทางทำประชามติ ส่งคำถามมาให้ สว.แสดงความเห็นว่า วิปวุฒิสภาหารือเบื้องต้นจะให้ สว.ตอบคำถามอย่างอิสระ จะเห็นด้วยหรือไม่ ไม่ไปก้าวล่วงหรือชี้นำกดดัน จากนั้นจะรวบรวมความเห็น สว.ส่งคืนไป มองว่าถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่แก้ไขหมวด 1 และ 2 ถือว่าไม่ใช่แก้ทั้งฉบับ แต่หากต้องหาทางออกและตีความ ควรใช้เวทีรัฐสภาพิจารณาให้ตกผลึกร่วมกัน เป็นความรับผิดชอบร่วมกัน เป็นทางออกลดความขัดแย้ง การแก้รัฐธรรมนูญหากตัดความรู้สึกว่ามาจาก คสช.ได้ ก็ไม่ต้องแก้ไข แต่ถ้าจะปรับปรุงคงมีแค่แก้คำปรารภ ตัดคำว่ากรรมการร่างรัฐธรรมนูญและสภานิติบัญญัติแห่งชาติออก เพราะทั้ง 2 องค์กรมาจาก คสช. ส่วนมาตราใดไม่พอใจก็ปรับปรุงร่วมกัน ง่าย เร็ว สะดวก ไม่สิ้นเปลือง รัฐธรรมนูญนี้หากตัดเรื่อง สว.โหวตนายกฯ จะได้ประชาธิปไตยเต็มใบ
ซัดเล่นปาหี่แก้หนี้นอกระบบ
นายวันชัยยังกล่าวถึงการทำงานของนายเศรษฐา ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาว่า นายกฯมองข้ามการหารือกับราชการ ควรใช้กลไกราชการให้เป็น ไม่ใช่พูดไปก่อน แต่ภายหลังพบข้อติดขัด ควรปรับวิธีทำงานให้เข้ากับระบบราชการ ปรึกษาหารือกับกลไกราชการที่เป็นเครื่องมือทำงาน แต่ไม่ใช่ให้ข้าราชการครอบงำ การทำงานของนายกฯปัจจุบันเหมือนเป็นเจ้าพ่ออีเวนต์ แต่การทำงานบริหารราชการและการแก้ปัญหา เช่น การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบยังเป็นเพียงละครปาหี่ ทำงานกระจัดกระจาย ไม่มีหัวหน้าดำเนินการ บริหารมา 3 เดือนแล้วจะมาลำลิเกไม่ได้ อย่ามองข้าราชการเป็นลูกจ้างบริษัทบ้านจัดสรร ต้องผสานความร่วมมือให้ได้ ที่สังเกตคือสิ่งที่ประกาศไปแล้วพบข้อติดขัดหมด ทั้งเงินดิจิทัล แก้หนี้นอกระบบ เพราะไม่ได้ใช้ระบบราชการทำงานจริง

มท.ชง ครม.18 ของขวัญปีใหม่
ด้าน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว. มหาดไทย โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย มอบหมายให้หน่วยงานในกำกับเตรียมมาตรการเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน เตรียมนำเสนอเข้า ครม. มีทั้งหมด 18 มาตรการ จาก 13 หน่วยงาน อาทิ มาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย ลดการก่อหนี้นอกระบบ ดำเนินการผ่านสถานธนานุบาล หรือโรงรับจำนำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 261 แห่ง ดำเนินการตั้งแต่ 1 ม.ค.-31 มี.ค.2567 หากเงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท ไม่คิดดอกเบี้ยใน 3 เดือนแรก หลังจากนั้นคิดร้อยละ 0.25/เดือน หากเงินต้นเกิน 5,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1/เดือน โครงการตู้น้ำดื่มสะอาดเพื่อชุมชน 72 ตู้ ติดตั้งในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการและนนทบุรี เป็นตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญในราคา 2 ลิตร/1 บาท โครงการขยายเวลางดตัดน้ำประปา 3 เดือน จากเดิม 2 เดือน ขยายระยะเวลางดจ่ายไฟฟ้า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่มีค่าไฟไม่เกิน 300 บาท/เดือน พัฒนาแอปพลิเคชัน ThaID จะมีการเพิ่มฟังก์ชันใหม่ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงงานทะเบียนทั่วประเทศ จะมีบริการใหม่ๆ ทันสมัยและรวดเร็วขึ้น
ฟันธงนิรโทษคดี ม.112 ไม่สำเร็จ
ขณะที่นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ทุกพรรคต้องพิสูจน์ผลงานต้องทำนโยบายให้สำเร็จ พรรค รทสช. ยังต้องปรับยุทธศาสตร์เพื่อเดินหน้าต่อไป หากพรรคใดไม่ปรับตัวการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ไปยาก เชื่อว่าเลือกตั้งที่ผ่านมาทุกพรรคไม่คิดว่าพรรคก้าวไกลจะมา ทุกพรรคจึงต้องปรับวิธีคิดใหม่ เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย แต่เชื่อว่าทุกพรรคปรับแล้ว เมื่อถามว่า เลือกตั้งรอบหน้าไม่ได้สู้กันแบบเดิม แต่อาจเป็นการรวมพลังทุกพรรคสู้กับก้าวไกลหรือไม่ นายธนกรกล่าวยอมรับว่าเป็นไปได้ ต้องยอมรับความ จริงว่าในอนาคตพรรคเล็กเกิดยาก เมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กติกาใหม่ต้องสู้กันทั้งระบบ รวมถึงพรรค ก.ก.ก็ต้องปรับตัว หลังจากเลยช่วงพีกไปแล้ว ส่วน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมต้องไม่เกี่ยวข้องกับคดีทำผิดมาตรา 112 หากฝั่งที่จะแก้ยืนกราน เชื่อว่าไม่ผ่าน ฟันธงว่าไม่สำเร็จแน่นอน
พลังบูรพาขอเวลาให้รัฐบาลนิด
นายสุระ เตชะทัต เลขาธิการพรรคพลังบูรพา กล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ผลงานรัฐบาลว่า รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เข้ามาบริหารประเทศได้ประมาณ 3 เดือนเศษ บางอย่างทำไปแล้ว บางอย่างเร่งดำเนินการ และบางอย่างกำลังจะทำ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา สะท้อนมุมมองออกมาที่แตกต่างกันไป บางฝ่าย บางคน บอกว่ารัฐบาลมีผลงานจับต้องได้ ไม่ได้ละเลย ความเดือดร้อนประชาชน แต่บางฝ่ายก็บอกผลงานไม่เข้าตา ไม่เห็นอะไรเป็นที่ประจักษ์ สามารถมองได้ ทั้งนั้น แต่ถ้าพูดตามความเป็นจริงต้องให้ความเป็นธรรม รัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหารประเทศ ขอให้ติดตามกันต่อไป โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ได้ยินมาว่ากำลังเร่งดำเนินนโยบาย โครงการที่เป็นประโยชน์ กับประชาชนที่จับต้องได้ คงได้เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรม มากขึ้น ถึงตรงนั้นค่อยวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และทำเรื่องนิรโทษกรรม จากการฟังเสียง สะท้อนหลายฝ่ายอยากให้มีการแก้ไข บนพื้นฐานของการเปิดกว้างทางความคิดเห็น รับฟังทุกฝ่ายแล้วนำมาเป็นข้อสรุป มีเป้าหมายทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน
กก.บห.ปชป.ไม่ถอดใจต้นทุนต่ำ
นายชนินทร์ รุ่งแสง รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงแนวทางการขับเคลื่อนพรรคว่า ว่าที่ กก.บห.พรรคหลายคนเริ่มเตรียมการพบปะพูดคุยเพื่อเดินหน้าทำงานในภาระหน้าที่ที่รับมอบหมาย ทุกคนต่างยอมรับว่าการทำงานเพื่อฟื้นฟูพรรคในห้วงเวลานี้เป็นเรื่องที่ยาก แต่เราทุกคนไม่ย่อท้อหรือถอดใจ แม้หลายคนมองว่า กก.บห.ชุดนี้มีต้นทุนต่ำ โดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบค่อนข้างมาก รวมถึงการปรามาสจากหลายฝ่าย เราในฐานะทีมผู้บริหารพรรคพร้อมทุ่มเททำงาน เบื้องต้นคงต้องเร่งถอดบทเรียนความล้มเหลว และความแตกแยกที่เกิดขึ้นเพื่อหาทางแก้ไข ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำในอนาคต ตั้งเป้าหมายเบื้องต้นให้พรรคเป็นที่ยอมรับ และมีสมาชิกทั้งใหม่และเก่า รวมถึงผู้สนับสนุนพรรคเดิมที่ลาออกไปแล้ว หวนกลับเข้ามาร่วมทำงานกับพรรค ตั้งเป้าภายใน 6 เดือนถึง 1 ปี เราน่าจะมีสมาชิกพรรคเพิ่มมากขึ้น จะมีการเดินสายของ กก.บห.พรรคปรับจูนทัศนะความคิดให้เข้าใจตรงกัน

“อภิสิทธิ์” หวังกลับมาเป็นสถาบัน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเหตุผลที่ตัดสินใจลาออกจากสมาชิกพรรค ปชป. ใช้เวลาตัดสินใจนานหรือไม่ว่า นานหรือไม่ตอบยาก ทำงาน การเมืองต้องคิดอยู่ตลอดเวลา พอถึงจุดที่ตัดสินใจอยู่บนข้อมูลที่เพียงพอแล้ว เมื่อถามว่าถึงวันนี้เสียดายหรือไม่ที่ตัดสินใจลาออก นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ไม่ได้คิดเรื่องของตัวเอง แม้ไม่อยู่พรรคก็เป็นห่วงพรรค หวังว่าพรรคจะหาทางกลับไปสู่ความเป็นสถาบันทางการเมืองได้อีก “เกือบปีที่ผ่านมาผมยังแปลกใจว่า คนที่อยู่วงนอกพรรค แสดงความห่วงใย เสียดายพรรค ปชป.ชัดเจนมาก คนที่อาจเคยอยู่กับพรรค คนที่เคยเลือกพรรค แต่อาจไม่พอใจในช่วงการเลือกตั้งครั้งสองครั้งที่ผ่านมา แล้วไม่ได้เลือก รวมไปถึงคนที่ไม่เคยเลือกหรือเคยต่อสู้กับพรรค ยังเดินมาบอกกับผมว่า เสียดายที่พรรค ปชป.เดินมาถึงจุดแบบนี้”
ยันไม่เคยทะเลาะกับ “เฉลิมชัย”
เมื่อถามถึงช่วง 10 นาทีระหว่างอดีตหัวหน้าพรรคกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นอย่างไร นายอภิสิทธิ์ตอบว่า จริงๆต้องรักษามารยาท และตกลงกันด้วยว่าเราก็ไม่ไปพาดพิงให้เกิดความเสียหาย นายเฉลิมชัยให้สัมภาษณ์ค่อนข้างตรง “ผมกับหัวหน้าคนใหม่เราไม่เคยทะเลาะกัน แต่หลายเรื่องเรารู้ว่าคิดไม่ตรงกัน ก็เข้าใจ วันนั้นจึงเห็นว่าปกติเวลาพักการประชุม ขอ 10 นาที มันเป็น 2 ชั่วโมง แต่วันนั้นไม่ถึง 10 นาที เพราะเหมือนรู้กันอยู่แล้วว่าต่างฝ่ายต่างคิดอย่างไร วันนั้นผมก็บอกคุณเฉลิมชัยว่าถ้าทำได้ดีผมก็กลับไปเป็นลูกพรรคของท่าน” เมื่อถามว่าจะหวนกลับ ปชป.อีกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ไม่เคยพูดว่าจะกลับหรือไม่กลับ จะกลับไปต้องมีเหตุผล จะไปทำอะไร ไปช่วยให้ดีขึ้นอย่างไร แต่ถ้ากลับไปเพื่อมีตำแหน่งก็ไม่อยาก แต่อยากเห็นมาตรฐานการเมืองเรื่องสัจจะ “เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไม่มีทางที่คิดว่าจะมีวันนี้ แต่ 4 ปีที่ผ่านมา มีความลำบากในแง่จุดยืนของตนกับพรรคในหลายเรื่องไม่ตรงกัน มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เริ่มคิดได้ว่าอาจมาถึงจุดนี้ได้”
“หนู” ปลื้มคนแห่ชิมช็อปโอทอป
วันเดียวกัน เวลา 12.00 น. ที่ชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายก รัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เดินชมงาน OTOP City 2023 และให้กำลังใจผู้ประกอบการตามโซน ต่างๆ อาทิ โซน OTOP ชวนชิม แวะซื้อหอยนางรม ร้านเบญจมาศ หอยนางรม จ.สุราษฎร์ธานี และก๋วยเตี๋ยวเรือลืมดง ส้มตำยกครก จ.เลย และร่วมรับประทานอาหารกับผู้บริหารระดับสูง ใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมง ระหว่างเที่ยวชมงานมีประชาชนมาขอถ่ายรูป และพูดคุยให้คำแนะนำในการพัฒนารูปแบบ การจัดงาน รวมถึงรูปแบบของผลิตภัณฑ์ OTOP ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นายอนุทินขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาร่วมจับจ่ายใช้สอยอุดหนุนผลิตภัณฑ์ OTOP วันแรกมี ยอดจำหน่ายรวม 72,757,960 บาท
หนุนขึ้นเดือน ขรก.-ค่าแรงขั้นต่ำ
อีกเรื่อง นิด้าโพลเปิดผลสำรวจความเห็นเรื่อง “ขึ้นเงินเดือนข้าราชการและค่าแรงขั้นต่ำ” จากประชาชน ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวม 1,310 หน่วยตัวอย่าง พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 48.93 เห็นว่าการขึ้นเงินเดือนข้าราชการกลุ่มแรกเข้า ภายใน 2 ปี เหมาะสมดีแล้ว รองลงมาร้อยละ 28.63 ระบุว่าควรขึ้นเงินเดือนข้าราชการทุกกลุ่มไม่ว่าจะแรกเข้าหรือรับราชการมานานแล้ว มีร้อยละ 13.66 เห็นว่าไม่ควรขึ้นเงินเดือนข้าราชการตอนนี้ เมื่อถามถึงความคิดเห็นประชาชนต่อการเสนอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในอัตราเพิ่มขึ้น 2-16 บาท พบว่าร้อยละ 35.11 ระบุว่า ควรขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ในอัตราเพิ่มขึ้นเท่ากันทุกจังหวัด รองลงมาร้อยละ 28.40 ระบุว่า ขึ้นน้อยเกินไป ร้อยละ 28.32 ระบุว่า เหมาะสมดีแล้ว ร้อยละ 6.18 ระบุว่า ไม่ควรขึ้นค่าแรง ขั้นต่ำตอนนี้ ร้อยละ 0.84 ระบุว่า ขึ้นมากเกินไป
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่