เปิดกระบวนการให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เปิดโอกาสสร้างความปรองดอง เป็นคนที่ประกาศไม่รับรัฐธรรมนูญ (รธน.) ฉบับปัจจุบัน ในช่วงที่ทำประชามติ เพราะ รธน.ไม่เป็นไปตามมาตรฐานระบอบประชาธิปไตยที่เป็นสากล ร่างขึ้นมามีเจตนาเอื้อกลุ่มบุคคลในการเดินหน้าทำงานการเมือง มีคนจำนวนไม่น้อยไม่ยอมรับฉะนั้นระหว่างที่รอเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี แง้มประตูให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น นอกจากเนื้อหาที่จะแก้ร่างรธน.ใหม่ จะเป็นจุดที่ช่วยพัฒนาทางการเมืองได้ด้วยแม้วันนี้มีอุปสรรค ทั้งทำประชามติถึง 3 ครั้ง ไม่นับรวมเลือกตั้ง ส.ส.ร. ส่วนตัวมีมุมมองว่า คำวินิจฉัยของศาล รธน. ไม่ได้แปลว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้งเพราะทำประชามติในครั้งที่เห็นร่างที่นำไปสู่การตั้ง ส.ส.ร. เป็นการถามประชาชนอยู่แล้วให้แก้ รธน.ทั้งฉบับหรือไม่ และวันนี้ยังนั่งปวดหัวว่ารอบแรกควรตั้งคำถามอย่างไร คำถามที่กว้างก็นำไปสู่การถกเถียง ทำให้เกิดข้อสงสัย ถ้าเห็นชอบแล้วจะเป็นแบบนั้น แบบนี้ไหมล่าสุด สมาชิกพรรคเพื่อไทยส่วนหนึ่งก็กังวลการทำประชามติ จะนำไปสู่การรณรงค์ให้ประชาชนไม่ลงคะแนน นำไปสู่ทำการประชามติผ่านหรือไม่ พรรคก้าวไกลก็เช่นกัน ที่กังวลเรื่องตั้งคำถามประชามติ เพราะสิ่งที่ตัวเองคิดกับพรรคการเมืองอื่นคิดอาจไม่ตรงกัน“เสียดายไม่มีกระบวนการหาความชัดเจนจากศาล รธน.ว่า ถ้าบอกว่า 2 ครั้งกระบวนการที่เหลือก็ง่ายขึ้นแม้เรื่องนี้อ้างเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากทุกฝ่ายผมยังเสียดายกระบวนการเริ่มต้นไม่ได้ไปที่สภาฯ คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อย่างน้อยก็มีสมาชิกรัฐสภา คนนอกเข้ามามีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง และใช้คำว่าสนิทใจมากกว่านี้อุปสรรคที่เพิ่มขึ้นมา ทำให้การเดินหน้าแก้ รธน.ต้องระมัดระวัง ปมปัญหาที่เกี่ยวกับการคัดค้าน ทำไมต้องแก้ คุ้มค่าไหมกับการจัดการเลือกตั้ง หรือทำประชามติถึง 4 ครั้ง”เริ่มพูดถึงแก้ พ.ร.บ.ประชามติ ประเด็นนี้นำไปสู่วิกฤติอย่างไร นายอภิสิทธิ์ บอกว่า กฎหมายกำหนดให้คนต้องมาใช้สิทธิ 50% และต้องได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของคนที่ไปใช้สิทธิ จึงกลัวกันว่าถ้าฝ่ายที่ไม่เห็นชอบรณรงค์ให้คนอยู่บ้านแต่พอไปแก้กฎหมายที่มีลักษณะค่อนข้างเป็นสากล ให้เป็นคนออกไปใช้สิทธิเท่าไหร่ก็ได้ เอาเสียงข้างมาก ดูไม่สอดคล้องกับหลักการถึงบอกว่าเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน ต้องสร้างความตื่นรู้ว่าอยากแก้ด้วยเหตุผลอะไร เอาเวลาไปทำตรงนี้ดีกว่าไปสร้างความขัดแย้งขณะเดียวกันพอเริ่มทำประชามติ สว.ก็ครบวาระ หมดอำนาจเลือกนายกฯ ลดความไม่พอใจต่อ รธน.ไปเยอะพอสมควร ทำให้การรณรงค์ทำประชามติไม่ง่ายเป็นการบ้านอีกข้อหนึ่งที่ผู้อยากเห็นการแก้ รธน. ต้องให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงในประเด็นที่อยากแก้ รธน.มาถึงตรงนี้ก็ไปพันกับความละเอียดอ่อนของพรรคก้าวไกล ยืนยันอยากแก้ทุกหมวด แก้ทั้งฉบับ ประเด็นนี้ทั้ง 2 ฝ่ายสุดโต่ง หรือสรุปง่ายจนเกินไปโดยฝ่ายที่เรียกร้องแก้ รธน.หมวด 1 หมวด 2 ก็ไม่ได้บอกว่าจะแก้อะไร ให้คนที่ไม่สบายใจ กังวลกระทบต่อสถานะสถาบัน เป็นองค์ประกอบหนึ่งนำไปสู่การแก้ไขอีกหลายอย่าง ยอมรับได้ยากที่จริงหมวด 1 หมวด 2 แก้ไขได้บางมาตรา เช่น อยากให้คณะองคมนตรีใหญ่ขึ้นกว่าปัจจุบัน อาจมีความจำเป็นต้องแก้ไขในอนาคตโดยไม่กระทบกระเทือนอะไรที่สำคัญพระราชอำนาจ และสถานะที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน ก็ไม่ได้อยู่ในเฉพาะหมวด 1 และหมวด 2 ด้วย ทำไมไม่ตั้งโจทย์กำหนดขอบเขตให้ชัด เพื่อการแก้ รธน.เดินหน้าได้ไม่เช่นนั้นจะถูกจุดจนเกิดความขัดแย้งได้“ขณะนี้ทุกคนสาละวนเรื่องของรูปแบบ วิธีการ อยากเห็นองค์กรทางวิชาการเริ่มต้นทำการบ้าน สนับสนุนการทำงานของ ส.ส.ร. ควรมีกระบวนการให้ความรู้ประชาชนถึงความปรารถนาจัดให้มี รธน.ฉบับใหม่ มีเหตุผล ประเด็นใดบ้าง เป็นวิสัยทัศน์และรูปแบบการปกครองที่สอดรับกันทั้งฉบับเพราะ ส.ส.ร.มาจากการเลือกโดยตรง ดูแนวโน้มพยายามไปแก้จุดอ่อนของ รธน.ปี 60 กระบวนการแบบนี้มักมีการประนีประนอม”ควรช่วยกันคิดให้การเมืองเดินไปข้างหน้าในมุมมองของผมประเทศไทยติดอยู่ 2 เรื่อง โดยประเด็นแรกใหญ่สุด คือการตรวจสอบถ่วงดุล เราเอารูปแบบรัฐสภาดั้งเดิมของต่างประเทศเข้ามาใช้ แต่เกือบศตวรรษไม่เคยเอาวัฒนธรรมการเมืองนั้นเข้ามาด้วยทั้งอังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น ประเทศเหล่านี้อยู่ได้ เพราะมีวัฒนธรรมการเมือง แม้รัฐบาลมีเสียงข้างมากในสภาฯ ก็มีความรับผิดชอบพร้อมสละตำแหน่งเมื่อเกิดอื้อฉาว เกิดบ่อยมากเกือบเป็นปกติ ไม่รอฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ไม่รอท้าทายกันให้ไปฟ้องศาลเราเหมือนไปท่องจำมาว่าในระบบรัฐสภา รัฐบาลคุมเสียงข้างมาก เกิดปัญหาเสียงข้างมากลากไป ถ่วงดุลไม่ได้ ของอย่างนี้เขียนลง รธน.ไม่ได้ โดยเฉพาะจริยธรรมก็ลงเอยที่องค์กรอิสระ พยายามทำให้ยึดโยงกับประชาชน แต่เกิดปัญหา พรรคการเมืองพยายามหาวิธีชอนไชเข้าไปแทรกแซงความศรัทธา ความเชื่อถือต่อองค์กรอิสระลดลง เมื่อเทียบกับ รธน.40โจทย์ใหญ่ควรออกแบบถ่วงดุลยึดโยงประชาชนประเด็นที่สองต้องมี 2 สภาหรือไม่ โดยเริ่มตั้งคำถามว่าวุฒิสภามีอำนาจ และหน้าที่อะไร ถ้าให้มีอำนาจมากต้องมาจากการเลือกตั้งประเด็นหลักๆเหล่านี้ไม่ควรรอจนกว่าจะมี ส.ส.ร.จากการเลือกตั้ง ควรออกแบบระบบการเมืองใหม่ เพื่อแก้ปัญหาการเมืองที่มีมาเกือบ 100 ปีแล้วสาระสำคัญไม่ได้ผูกมัด ส.ส.ร. ยังเป็นตัวช่วยให้ ส.ส.ร.ทำงานอย่างเป็นระบบมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อสังคมที่เข้าใจว่ายกร่าง รธน.ใหม่สว.ครบวาระ อำนาจโหวตนายกฯไม่มีอีกต่อไป สุดท้ายอาจไม่มีประเด็นรณรงค์ทำประชามติ อาจกระทบต่อการทำประชามติได้ นอกจากให้สถาบันทางวิชาการมาขับเคลื่อนแล้ว ฝ่ายการเมืองควรขยับอย่างไร นายอภิสิทธิ์ บอกว่า ฝ่ายการเมืองต้องระมัดระวังด้วยเหมือนกันไปพูดอะไรชัดเจนเกินไปจะถูกกล่าวหาว่า เขียนกติกาตามความ ต้องการของตัวเอง แต่รัฐบาลอยู่ในฐานะขอให้สถาบันทางวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย สถาบันพระปกเกล้า มาให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อให้สังคมตื่นตัวแนวทางที่เสนอทำให้สังคมตกผลึก นับเป็นทางออกของประเทศ นายอภิสิทธิ์บอกว่า ออกได้ 3 ทาง โดยต้องระมัดระวัง ถ้าทำไม่ดีอาจสร้างปมความขัดแย้งใหม่ขึ้นมาได้ความขัดแย้งเกิดได้ตั้งแต่ตกลงกันไม่ได้ว่า ควรถามประชาชนว่าอย่างไร สุดท้ายทำประชามติไม่ผ่านหรือผ่าน แต่ไม่เป็นที่ยอมรับหรือผ่านจนมี ส.ส.ร.จากเลือกตั้ง แต่ไม่ได้เรียนรู้บทเรียนในอดีต ทั้งร่าง รธน.ออกมาก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิม หรือไปสร้างปมขัดแย้งจากประเด็นที่ละเอียดอ่อนถ้า รธน.ฉบับใหม่นิรโทษกรรมทางการเมืองได้เพราะมีหลายบทบัญญัติระบุว่า นักการเมืองคนนั้นคนนี้หมดสิทธิทางการเมือง ปัญหาคือแก้ไขอย่างไรให้เป็นที่ยอมรับ หรือบทลงโทษทางการเมืองหนักไป ควรหาความพอดีตรงไหน ขอย้ำควรพูดกันเสียตั้งแต่ต้นถ้าทำได้ไม่ถึงขนาดนั้นประเทศอาจดีขึ้นมาบ้างหากทำดีก็นับเป็นทางออกของประเทศไทย.ทีมการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม