การบริหารประเทศที่สะท้อนแนวคิดและวิธีการทำงานได้เป็นอย่างดีคือ การจัดการปัญหาแบบขอไปที ไม่กล้าแตะหรือล้วงลึกสาวไปถึงต้นตอ
ก่อนจะเป็นรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ โดยเฉพาะช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ทุกอย่างพวกเขาสามารถแก้ไขได้หมด
ลดราคาพลังงาน ค่าไฟ หรืออะไรต่อมิอะไรทำได้หมด
ครั้นเข้ามาทำงานจริงๆ ก็ทำได้แค่ปลายยอดของปัญหาเท่านั้น ไม่กล้าหรือล้วงลึกเข้าไปถึงต้นตอคือต้นเหตุ
พูดง่ายๆ ทำแบบฉาบฉวยให้เห็นว่าทำเท่านั้น
นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งที่จะหารายได้เข้ารัฐ ล่าสุดจะให้สถานบันเทิง ผับ บาร์ เปิดบริการถึงตี 4
มหาดไทยออกกฎกระทรวงแล้ว ให้ดำเนินการได้ 5 จังหวัด คือ กทม. ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต และสมุย โดยแต่ละพื้นที่จะกำหนดโซนนิงเพื่อให้บริการได้
เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.66 เป็นต้นไป และคาบเกี่ยวไปถึงปีใหม่ จะให้เปิดบริการได้ถึงเช้าเรียกว่าฉลองกันได้เต็มที่
นอกจากนั้น ได้มีการสั่งการให้ร้านค้าที่จะเปิดให้บริการต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด
ก็โอเค
แต่ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน “อนุทิน ชาญวีรกูล” รัฐมนตรีมหาดไทย ได้นำกำลังจากฝ่ายปกครองชุดใหญ่ เข้าจับกุมสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ที่สืบทราบมาว่าเปิดบริการเกินเวลา ปรากฏจับกุมนักเที่ยวได้มากพอสมควร และมีเยาวชนร่วมอยู่ด้วย
ผับแห่งนี้ไม่มีใบอนุญาต เปิดห้องพิเศษให้เสพยาเสพติด ตรวจพบนักเที่ยวฉี่สีม่วงเพียบ สถานที่อยู่กลางกรุงนี่แหละ
นี่เป็นภาพสะท้อนสังคมไทยอย่างหนึ่ง
การบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอไม่มีใครเกรงกลัว เจ้าหน้าที่รัฐหย่อนยานมีผลประโยชน์ ทำให้มีเหตุลักษณะนี้บ่อยๆ
แล้วก็มีคำสั่งเด้ง 5 เสือโรงพักในท้องที่รับผิดชอบ
...
ทุกอย่างวนอยู่อย่างนี้คล้ายกับว่าไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ หรือจะพูดว่ามีปัญญาทำได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว
ก็ลองคิดดู “รัฐมนตรีมหาดไทย” เป็นตำแหน่งใหญ่โต มีงานในรับผิดชอบมากมาย ดูแลทั่วราชอาณาจักร
แต่ต้องมาไล่จับผับบาร์นี่มันก็กระไรอยู่นา...
อย่างที่พูดกันว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนั้น มีแนวคิดเชิงบูรณาการคือ มองปัญหาอย่างรอบด้านอย่างครอบคลุม
แต่ที่สุดแล้วก็แค่คำพูดเท่านั้น ทางปฏิบัติหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะไม่กล้าจะลงลึกในรายละเอียดจริงทำแบบ ผิวเผิน
ใช้เสียงดังโชว์อำนาจเท่านั้น
ปัญหาของประเทศไทยนั้นคือการบังคับใช้กฎหมาย ที่ไม่มีประสิทธิภาพ สะท้อนจาก “ตำรวจ” นี่แหละชัดเจนที่สุดที่ทำให้เกิดปัญหา
การแก้ไขอย่างหนึ่งคือ “ปฏิรูปตำรวจ” อย่างเอาจริงเอาจัง เป็นเรื่องเป็นราวไม่ใช่แค่เรียกมาคุย หรือว่ากล่าวให้สาธารณะ รับรู้เท่านั้น เพราะมันเป็นเพียงแค่คำขู่และสร้างภาพมากกว่า
เพราะนี่คือต้นตอสำคัญของปัญหา!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม