เหตุผลที่ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน ประกาศความจำเป็นในการออก โครงการดิจิทัลวอลเล็ต หรือ กระเป๋าเงินดิจิทัล ก็เพราะว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของประเทศ หดตัวต่อเนื่องมาหลายปี จนน่าเป็นห่วงว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังดำดิ่งไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจที่ลงลึกจนกระทั่งฟื้นตัวได้ลำบาก
ดังนั้นโครงการนี้จึงเป็น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือจีดีพีของประเทศโดยเฉพาะ หลังจากพบว่าค่าเฉลี่ย จีดีพี ของประเทศอยู่ที่ 1.8% เท่านั้น โครงการนี้เป็นคนละโครงการลดค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายของประชาชน แต่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยผ่านการใช้จ่ายของประชาชนเพื่อให้กระจายลงไปในจังหวัด อำเภอ ชุมชนได้มากที่สุด
ดังนั้นจึงมีขอบเขตในการใช้จ่ายที่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศโดยเฉพาะ ไม่ใช่สินค้านำเข้า เช่น ห้ามนำไปจ่ายค่าน้ำมัน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือนำไปจ่ายค่าเล่าเรียน
ค่าเทอม ห้ามนำไปซื้อบุหรี่ สุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ นำไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค อาหาร เครื่องดื่มได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับสินค้าบริการได้และไม่สามารถนำไปแลกเป็นเงินสดได้ ที่ไม่แจกเป็นเงินสดเพราะเกรงว่าจะควบคุมได้ลำบาก
แต่สามารถนำเงิน 10,000 บาทที่ได้รับไปซื้อสินค้าที่มีราคามากกว่า 10,000 บาทได้ เช่น ในครัวเรือนเดียวกันมีสมาชิก 3 คนได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต 30,000 บาท สามารถที่จะไปซื้อสินค้าชิ้นเดียวกันได้ แต่ไม่สามารถโอนเงิน 10,000 บาท ให้คนใดคนหนึ่งไปใช้ได้ ต้องไปใช้พร้อมกัน เพื่อเป็นการยืนยันแสดงตัวตนที่ชัดเจน
การใช้จ่ายเงินในรัศมีอำเภอที่อยู่อาศัยตามบัตรประชาชน เท่ากับเป็นการขยายพื้นที่ในการใช้เงินดิจิทัลได้มากขึ้น โดยใช้ผ่าน แอปเป๋าตัง ที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจะต้องมีการลงทะเบียนก่อนทั้งผู้ใช้สิทธิและร้านค้าที่ร่วมโครงการ คนที่จะได้รับสิทธินี้ก็คือคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ต้องมีรายได้ไม่เกินเดือนละ 70,000 บาท หรือมีเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาทในทุกบัญชีรวมกัน ซึ่งไม่ได้มีการกำหนดการถือครองที่ดิน การมีบ้านมีรถ การถือครองหุ้น หมายความว่าโครงการนี้ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องแจกคนรวยหรือคนจน ขึ้นอยู่กับว่าต้องมีเงินฝากรวมแล้วไม่เกิน 5 แสนบาท หรือมีรายได้ไม่เกิน 7 หมื่นถ้ารายได้ไม่เกิน 7หมื่นบาทต่อเดือน แต่เงินในบัญชีมีมากกว่า
5 แสนบาท ก็ไม่เข้าเงื่อนไขเช่นกัน
...
โครงการนี้คำนวณออกมาแล้วว่า จะมีคนเข้าโครงการ 50 ล้านคน ตัดคนที่ไม่เข้าเงื่อนไขไป 4 ล้านคน จะต้องใช้เงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้จะเป็นเงินในลักษณะของเงินกู้ที่จะต้องออก พ.ร.บ.กู้เงิน และเตรียมไว้อีก 1 แสนล้านบาทที่จะนำมาจาก กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่จะไปช่วยซัพพอร์ตในส่วนของเอสเอ็มอี อุตสาหกรรมที่จะเป็นส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รองรับการผลิตในการใช้จ่ายของประชาชน
โดยมีระยะเวลาในการใช้จ่าย 6 เดือน เริ่มจากเดือน พ.ค. ปี 2567 เป็นต้นไป โครงการนี้เหลืออีกขั้นตอนเดียวคือขั้นตอนของกฎหมาย เป็นความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เนื่องจากเป็นกฎหมายทางการเงิน และมีการส่งเรื่องร้องเรียนไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้มีการตรวจสอบว่า เป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญในการออก พ.ร.บ.กู้เงินหรือไม่
ส่วนเรื่องของอนาคตจะสร้างภาระหนี้ ภาระการคลัง ภาระงบประมาณอย่างไร ไปตายเอาดาบหน้า.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th
คลิกอ่านคอลัมน์ "คาบลูกคาบดอก" เพิ่มเติม