“พิธา” ไม่กังวลคดีถือหุ้นไอทีวี ถ้าตัดสินยุติธรรม เผย กกต.ยังไม่เรียกไปแจง ห่วงคดี ม.112 ทำ “ลูกเกด” วืด ส.ส. หวังจะผ่านไปด้วยดี โต้ประธานสภาฯยังไม่จบที่ “ชลน่าน” “ชัยธวัช” มั่นใจ ส.ว.ส่วนใหญ่เจตนาดีไม่คิดให้ “ไทยฆ่าไทย” เหมือน “กิตติศักดิ์” เตือนอย่าดึงสถาบันมาเกี่ยวการเมือง สอนมวย “แรมโบ้” ยอมรับความพ่ายแพ้ “ทักษิณ” ยันคำเดิมกลับไทย ก.ค. รอ “อุ๊งอิ๊ง” แจ้งวัน ว. เวลาน. รับแก่แล้วถึงเวลาของคนรุ่นใหม่ “เผ่าภูมิ” รีบแจงแค่ชะลอเงินดิจิทัลไม่ได้ล้ม “จรุงวิทย์” ออกโรงแจงคดีหุ้นสื่อ ถึงผิดก็ไม่มีผลล้มกระดานเลือกตั้ง ส.ส. “จเด็จ” ดั้นด้นตั้งรัฐบาลแห่งชาติ “วิษณุ” เสียงอ่อยขอสงบปากสงบคำ เตือน ส.ว.สังคมไม่รับให้เลิกคิด รบ.แห่งชาติภาค ปชช.ลุยยื่นสอย ครม.ประยุทธ์
กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคร่วม ท่ามกลางกระแสต้องเจออุปสรรคขวากหนามสารพัด โดยเฉพาะจากกลุ่ม ส.ว.ส่วนใหญ่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ยังมั่นใจว่าจะตั้งรัฐบาลโดยฝ่ายประชาธิปไตยได้สำเร็จ แม้ต้องเจอด่านหินคดีถือหุ้นสื่อไอทีวีก็ตาม
“พิธา” ไม่กังวลถ้าตัดสินยุติธรรม
เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 2 มิ.ย. ที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังออกรายการ “กรรมกรข่าวคุยนอกจอ” ถึงความคืบหน้ากรณีถูกร้องให้ตรวจสอบเรื่องการถือหุ้นสื่อไอทีวีว่า ตรวจสอบกับทางพรรคแล้ว กกต.ยังไม่มีการเรียกเข้าชี้แจง ขอย้ำว่าหากตัดสินกันอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ทั้งเรื่องหลักฐาน และเรื่องทางกฎหมาย คิดว่าไม่มีอะไรน่ากังวล เมื่อถามถึงหาก กกต.ไม่สามารถรับรอง ส.ส.พรรคก้าวไกลทั้ง 151 คน ได้ภายในกลางเดือน มิ.ย.นี้ จะส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายพิธาตอบว่า เข้าใจว่าตามกฎหมายจะรับรองได้ช้าสุดคือวันที่ 13 ก.ค. หากช้าไปก็ติดกระดุมเม็ดแรกไม่ได้ ไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และเลือกประธานสภาฯและรองประธานได้ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ทำให้ประชาชนเรียกร้องให้ กกต.ทำให้เร็วขึ้น
...
ห่วงคดี 112 ทำ “ลูกเกด” วืด ส.ส.
เมื่อถามว่า มีกรณีว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลถูกร้องเรียนเลือกตั้ง ที่อาจส่งผลให้ตัวเลข ส.ส. ไม่ถึง 151 คนหรือไม่ นายพิธาตอบว่า เท่าที่เห็นมีเรื่องของ น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ว่าที่ ส.ส.ปทุมธานี แต่น่าจะเป็นคดีเกี่ยวกับกฎหมายอาญามาตรา 112 ยังไม่ได้ดูรายละเอียดกับทีมกฎหมายว่ามีประเด็นอะไรบ้าง ต้องให้กำลังใจ น.ส.ชลธิชาที่ต้องขึ้นศาล โดยไม่มีทนายในเรื่องมาตรา 112 และหวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อถามว่า พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา ส.ว. อดีตเลขาธิการ กกต. โพสต์ตัวอย่างกรณีเป็นหัวหน้าพรรค หากต้องพ้นสมาชิกภาพความเป็น ส.ส. จะไม่มีผลสืบเนื่องต่อการรับรองการส่ง ส.ส.ของพรรค นายพิธาตอบว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดเรื่องนี้ อาจยังให้ความเห็นไม่ได้ แต่ฟังจากความเห็นของนักวิชาการ และอดีต กกต. ยกกฎหมายขึ้นมาเทียบเคียงไม่ได้เกี่ยวข้องว่าใครผิดพลาดอะไร แล้วที่เหลือจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ยังมั่นใจในรายละเอียดของตัวเอง และมั่นใจจะตั้งรัฐบาลได้
โต้ “เต้” ยังไม่จบที่ “ชลน่าน”
เมื่อถามถึงกระแสข่าวมีการพูดคุยในเรื่องประธานสภาฯ ได้ข้อสรุปแล้วว่าเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายพิธาตอบว่า นพ.ชลน่านชี้แจงผ่านทวิตเตอร์แล้วคำว่า “จบแล้ว” มีนิยามของมันอยู่ ไม่ได้หมายความว่าจบที่ตัวบุคคล แต่ในความขัดแย้งมีกระบวนการแก้ไขปัญหาว่าจะทำอย่างไร ให้เป็นประธานสภาฯของประชาชน ยังคงยืนยันตามคำสัมภาษณ์ของนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ที่เป็นทีมเจรจาบอกไว้ว่าจะมีความชัดเจนในช่วงกลางเดือน มิ.ย.นี้ ที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีตหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ โพสต์ไม่เป็นความจริง ส่วนกรณีที่คนในรัฐบาลยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ยังไม่ต้องเก็บของออกจากทำเนียบเพื่อเตรียมส่งมอบหน้าที่แก่รัฐบาลชุดใหม่นั้น ขอพูดเพื่อความเข้าใจว่าเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านอำนาจแล้ว ปกติคนที่แพ้เลือกตั้งต้องยินดีกับผู้ชนะการเลือกตั้ง และส่งมอบงานให้รัฐบาลต่อไป หากเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง คงไม่หลุดไปจากหลักการนี้ แต่อาจมีการพูดคุยกันของสภาล่างกับสภาสูง น่าจะเป็นไปในลักษณะนั้นมากกว่า

100 วันเป็นไปได้ดันค่าแรง 450
เมื่อถามถึงข้อกังวลของประธานสภาแรงงานเรื่องการขึ้นค่าแรง 450 บาทต่อวัน หากรัฐบาล ก.ก.ไม่สามารถทำได้ใน 100 วันแรก อาจมีกลุ่มแรงงานไปยื่นร้อง กกต. นายพิธาตอบว่า ในช่วง 100 วันแรกตามกฎหมาย ต้องให้ไตรภาคีพูดคุยกัน ขณะนี้ค่าครองชีพสูงมากในการใช้ชีวิต จึงเชื่อว่าจะสามารถเป็นไปได้ใน 100 วันแรก จะมีการเจรจากันเกิดขึ้น ขณะเดียวกันต้องพูดคุยกับนายจ้างและผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรง และเพิ่มประสิทธิภาพของแรงงาน
มั่นใจ ส.ว.ส่วนใหญ่เจตนาดี
ที่พรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนายธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดูต้นแบบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่ดีว่า นายกฯที่ดีต้องฟังและยึดตามเสียงประชาชนเป็นหลัก เมื่อถามว่านายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ส.ว. ระบุว่าบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ อาจเกิดเหตุการณ์ไทยฆ่าไทย หากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ นายชัยธวัชตอบว่า อย่าเพิ่งสรุปว่าเป็นความคิดเห็นของ ส.ว.ส่วนใหญ่ เท่าที่ได้พูดคุยหารือกัน ส.ว.ส่วนใหญ่มีเจตนาดี เห็นตรงกันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโอกาสที่จะออกจากความขัดแย้งเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา มากกว่าจะนำไปสู่ความขัดแย้ง ส.ว.หลายท่านอยากให้มีการปฏิรูป ไม่ว่าจะระบบราชการ การกระจายอำนาจ แก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน การศึกษา และปฏิรูประบบเศรษฐกิจ
อย่าดึงสถาบันมายุ่งการเมือง
เมื่อถามว่าการพูดดังกล่าวมองว่าเป็นการปลุกปั่นหรือไม่ นายชัยธวัชตอบว่า อาจเป็นมุมมองส่วนตัว แต่พรรคก้าวไกลและ ส.ว.อีกหลายๆคนไม่ได้มองแบบนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน สิ่งที่สังคมไทยไม่อยากจะเห็นคือความขัดแย้งทางการเมืองแบบเดิมๆ การดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะเอาสถาบันมาปะทะ ส่วนจะเป็นการชี้นำหรือไม่ คิดว่าอาจเป็นความห่วงใย แต่ก็มองว่าสถานการณ์ไม่น่าจะเดินไปแบบนั้น เมื่อถามถึงข้อเสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติของนายจเด็จ อินสว่าง ส.ว. นายชัยธวัชตอบว่า หลายคนให้ความเห็นไปแล้วว่ารัฐบาลแห่งชาติไม่น่าเป็นหนทางยุติหรือแก้ไขความขัดแย้ง ในทางกลับกันรัฐบาลแห่งชาติอาจกลายเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งก็เป็นได้

สอน “แรมโบ้” รับความพ่ายแพ้
นายชัยธวัชยังกล่าวถึงความชัดเจนเรื่องตำแหน่งประธานสภาฯว่า จะมีความชัดเจนภายในเดือน มิ.ย. เป็นเรื่องภายในของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยคุยกัน ส่วนที่มีรายชื่อนายณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรค ก.ก. และนายธีรัจชัย พันธุมาศ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ออกมายืนยันว่ามีบุคลากรหลายคนเหมาะสมอยู่แล้ว ส่วนปมร้องเรียนเรื่องการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา กกต.ยังไม่เรียกขอข้อมูลมา รอกระบวนการนี้อยู่ คิดว่ากระบวนการน่าจะเริ่มหลัง กกต.รับรอง ส.ส.แล้ว มีกระบวนการตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่ไม่ได้เป็นกังวล เมื่อถามย้ำว่าจากกรณีดังกล่าวหากเกิดอุบัติเหตุการเมืองขึ้นจริง มีการพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยเตรียมแผนสำรองไว้หรือไม่ นายชัยธวัชตอบว่า ไม่ได้มีการพูดคุยกัน คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เมื่อถามว่านายเสกสกล อัตถาวงศ์ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุว่า “อย่าฝันกลางวัน” ที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์เก็บของออกจากทำเนียบฯเตรียมส่งมอบหน้าที่ให้รัฐบาลใหม่ นายชัยธวัชตอบว่า การทำใจยอมรับมติของประชาชนเป็นทางออกที่ดีที่สุด จะทำให้ประเทศเดินหน้าอย่างราบรื่น เข้าใจว่านายเสกสกลอาจยังทำใจไม่ได้
“ทักษิณ” ยันคำเดิมกลับไทย ก.ค.
เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 1 พ.ค. รายการ “คุยแหลก แดกดึก” ของนายคชาภา ตันเจริญ พิธีกรชื่อดัง สมาชิกพรรคเพื่อไทย เผยแพร่บทสัมภาษณ์นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยังอยู่ประเทศสิงคโปร์ ถึงการกลับบ้านหากกลับมาต้องติดคุก นายทักษิณกล่าวว่า ยังไงก็ได้ ยังไงก็กลับ ส่วนจะเป็นเดือน ก.ค.นี้หรือไม่ ได้พูดไปแล้วยืนยันไปแล้ว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวจะเป็นคนบอกว่าวันที่เท่าไร เวลาเท่าไร เหตุผลที่อยากกลับเพราะมีหลาน 7 คนแล้ว ถึงเวลาต้องไปเลี้ยงหลานแล้ว พ่อแม่เป็นวัยต้องไปทำงาน ปู่ย่าตายายมีหน้าที่ต้องเลี้ยงหลาน ให้พ่อแม่ได้ทำงานได้เต็มที่ เมื่อถามว่ามีโอกาสกลับมาเป็นนายกฯอีกหรือไม่ นายทักษิณตอบว่า แก่แล้ว หมดสมัย วันนี้เป็นยุคคนรุ่นใหม่ไม่ใช่ยุคคนแก่ คนแก่บางทีแนะนำก็อย่าไปบังคับเพราะเราไม่ทันเด็ก คนแก่แม้เข้าใจเด็กแต่เข้าใจแบบคนเรียนภาษาอังกฤษในประเทศไทย มันสู้คนโตเมืองนอก ที่รู้ภาษาอังกฤษแล้วพูดภาษาอังกฤษแตกฉานไม่ได้ คล้ายๆอย่างนั้น ไม่ใช่เอาคนแก่มาบอกว่าเข้าใจคนรุ่นใหม่ แต่เข้าใจไม่ลึกซึ้ง
รับแก่แล้วเป็นเวลาคนรุ่นใหม่
เมื่อถามว่า น.ส.แพทองธารเคยบอกว่าพ่อไม่ต้องมายุ่งแล้ว นายทักษิณตอบว่า ใช่ พ่อแก่แล้ว ให้คนรุ่นใหม่เขาคิด เราให้คำแนะนำจากประสบการณ์ แต่อย่าไปบังคับ สมัยพ่อทำอย่างนี้ลูกต้องทำอย่างนี้ ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ๊งเลย เพราะมันไม่เหมือนกัน วิธีคิด ภาษาพูด คนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าคิดไม่เหมือนกันเรื่องอนาคต เราประวัติเยอะ อดีตเยอะ อนาคตสั้นจุ๊ดจู๋ คนรุ่นใหม่อดีตน้อย แต่อนาคตยาวนาน เขาจะมองอนาคตเขาได้ดีกว่าที่เรามอง เพราะอนาคตเรามันสั้น เมื่อถามว่าถึงเวลาสำหรับโลกใบใหม่แล้ว นายทักษิณตอบว่า ใช่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Paradigm Shift คือวิธีคิดมันเปลี่ยนไปมาก คนรุ่นเก่าเราคิดว่าพยายามตามทุกอย่าง ขนาดตนอ่านหนังสือเยอะก็ได้ระดับหนึ่ง ไม่ได้ระดับลึกซึ้งเท่ากับวัยเขาคิดกัน เมื่อถามย้ำว่าเดือน ก.ค.นี้กลับแน่นอน นายทักษิณยืนยันว่า “กลับแน่นอน” เมื่อถามอีกว่าวันเกิดเดือน ก.ค.พอดีด้วย นายทักษิณตอบว่า “26 ก.ค.”
หน. 8 พรรค คุยช่วงเปลี่ยนผ่าน
ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การประชุมของคณะทำงานชุดเล็ก 7 คณะที่ตั้งขึ้นตามมติ 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาลในวันที่ 6 มิ.ย. วาระหลักๆคือนำข้อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการประสานงานช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล และการประชุมหัวหน้าพรรคการเมือง 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลในวันที่ 7 มิ.ย. เพื่อติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาล ทั้งนี้ 7 คณะทำงานประกอบด้วย คณะทำงานด้านค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันดีเซล และราคาพลังงาน คณะทำงานด้านภัยแล้ง เอลนีโญ คณะทำงานด้านการแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะทำงานด้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คณะทำงานด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมและ PM 2.5 คณะทำงานด้านการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและ SME และคณะทำงานด้านการแก้ปัญหายาเสพติด
“เผ่าภูมิ” แจงแค่ชะลอเงินดิจิทัล
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เลขานุการและโฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ แถลงชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทว่า ตามที่ได้แถลงไปก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้คำว่ายุติ แต่ใช้คำว่าชะลอเพื่อการเจรจาอย่างมีวุฒิภาวะ เป็นการให้เกียรติพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เรื่องนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตมีความจริง 2 ข้อ ที่ต้องทำให้ชัดเจนและเข้าใจตรงกันคือ ดิจิทัลวอลเล็ตใช้งบประมาณ 5 แสนล้านบาท ขณะที่นโยบายด้านสวัสดิการของพรรคแกนนำใช้งบประมาณ 6.5 แสนล้านบาท เงินสองก้อนนี้ทั้ง 2 พรรคพูดชัดว่าไม่ได้เกิดจากการกู้เงิน แต่เป็นงบที่อยู่ในระบบงบประมาณ สำหรับประเด็นที่ 2 พรรคเพื่อไทยมีหน้าที่ต้องไปชี้แจงให้ความเห็นและแลกเปลี่ยนกันในมุมมองเชิงนโยบาย ว่าอะไรเป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน เชื่อว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเป็นนโยบายสำคัญและตอบโจทย์ เพราะออกแบบนโยบายมาอย่างเป็นระบบ ไม่อยากให้ตัดประเด็นว่าเราจะไม่ทำดิจิทัลวอลเล็ต เพราะอยู่ในช่วงเจรจา
“จรุงวิทย์” ออกโรงแจงคดีหุ้นสื่อ
วันเดียวกัน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา ส.ว. อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์เฟซบุ๊กอธิบายกรณีการถือหุ้นสื่อของผู้สมัคร ส.ส. และกรณีหัวหน้าพรรคการเมืองเซ็นรับรองส่งผู้สมัคร ส.ส. หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิ เป็นการยกตัวอย่างกรณีสมมติของ “นายนิทรา” เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง จดทะเบียนโดยถูกต้อง เมื่อมีเลือกตั้ง นายนิทราออกหนังสือรับรองให้ผู้สมัครไปยื่นสมัครรับเลือกตั้ง นายนิทราลงสมัครแบบบัญชีรายชื่อ และได้รับเสนอชื่อจากพรรคให้เป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังเลือกตั้งมีผู้ร้องเรียนนายนิทราถือหุ้นสื่อ utv หากศาลตัดสินว่าถือหุ้นสื่อ utv จริง การถูกตัดสิทธิจะมีผลถึงการรับรองผู้สมัครฯ ทำให้การรับรองไม่ชอบ ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่หมดหรือไม่นั้น หัวหน้าพรรค การเมืองที่จัดตั้งโดยชอบด้วยกฎหมาย หากศาลตัดสินว่าถือหุ้นสื่อมาก่อนเลือกตั้ง แม้นายนิทราออกหนังสือรับรองให้ผู้สมัครในช่วงขาดคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้าม แต่เป็นลักษณะต้องห้ามของนายนิทราที่สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แต่การลงนามรับรองผู้สมัครพรรค เป็นการรับรองในฐานะหัวหน้าพรรคการเมือง เมื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม มิได้ห้ามหัวหน้าพรรคเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนแต่อย่างใด ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 16, 24, 9 ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 98
“จเด็จ” ดั้นด้นตั้งรัฐบาลแห่งชาติ
ขณะที่นายจเด็จ อินสว่าง ส.ว. กล่าวถึงกรณีโดนถล่มแนวทางเสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติว่า ดีแล้วที่ไม่มีใครตอบรับ ไม่ทราบเหมือนกันทำไมไม่ตอบรับ เมื่อถามว่ายังคงเสนอประเด็นนี้ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภาต่อไปหรือไม่ นายจเด็จตอบว่า ต้องถามนายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ที่เป็นประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ แต่เท่าที่คุยกับ ส.ว.บางคนมองว่าเป็นไปได้ แต่ต้องหาทางออกว่าจะดำเนินการอย่างไร

กระตุก ส.ว.หยุดสร้างเงื่อนไข
นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข้อเสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติว่า เชื่อว่าจะนำไปสู่ความยุ่งยาก สร้างเงื่อนไขไม่มีที่สิ้นสุด ดีที่สุดคือขอให้ทุกฝ่าย ทั้งว่าที่ ส.ส. กกต. และ ส.ว. ต่างทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญให้สมบูรณ์เสร็จสิ้น และยึดกติกา ทั้งระเบียบ กกต. และกฎหมายเป็นหลัก หากต้องมีการวินิจฉัยก็ให้เดินจนสิ้นสุดทาง เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย แต่หากเสนอหนทางอื่น นอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด จะยิ่งกลายเป็นการผูกเงื่อนไขเพิ่มขึ้นจนหาทางออกไม่ได้ เช่น กรณีคุณสมบัติหัวหน้าพรรคก้าวไกล สมควรอย่างยิ่งที่ กกต.ต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด แล้วส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
“วิษณุ” เสียงอ่อยสงบปากสงบคำ
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายก รัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีถูกวิจารณ์หนักหลังออกมาให้ความเห็นหากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกตัดสิทธิอาจทำให้การลงนามรับรองผู้สมัคร ส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะว่า ขอไม่ตอบอะไรแล้ว ที่ตอบไปวันก่อนคือสื่อถามและอยากรู้ เมื่ออยากรู้ก็ให้ความรู้และควรจะจบแค่นั้น ถ้าขยายความต่อไปคิดว่าไม่เป็นธรรมต่อพรรคก้าวไกล ที่กำลังดำเนินการไปในแนวทางที่เขาควรทำอยู่แล้ว อย่าไปทำอะไรที่ทำให้กระบวนการของเขาสะดุด ถ้าพูดมากกว่านี้ไปแสดงว่าตั้งใจให้เขาสะดุด เมื่อไม่ได้ตั้งใจก็อย่าไปพูดอะไรอีก ไม่มีเจตนารมณ์อะไร แค่สื่อถามเลยตอบ เวลาไปออกข่าวก็ไม่ได้เสนอคำถาม ไม่ได้ไปเปรียบเทียบอะไร ความจริงก็เปรียบเทียบอะไรไม่ได้ เพราะเป็นคนละกรณีกัน “จะไม่ตอบเรื่องนี้แล้ว ช่วยถามคนอื่นเถอะ”
สังคมไม่รับเลิกคิด รบ.แห่งชาติ
นายวิษณุยังกล่าวถึงข้อเสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติว่า ไม่ทราบ ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าคำนี้หมายถึงอะไร ประเทศไทยไม่เคยมี แต่ในต่างประเทศเคยมี เมื่อถามว่า ทุกครั้งเวลามีปัญหามักมีการเสนอตั้งรัฐบาล แห่งชาติ นายวิษณุตอบว่า เป็นธรรมดาคนที่ตกอยู่ในเหตุการณ์ที่เหมือนจมน้ำ หรือไฟไหม้ หรือตึกถล่ม มีอะไรคว้าได้ก็ต้องคว้า คิดอะไรออกก็คิด ไม่แปลกที่จะคิดและเสนอออกมา แต่ถ้าสังคมไม่ยอมรับก็ควรหยุดคิด เมื่อถามว่ารัฐธรรมนูญเปิดช่องให้ทำได้หรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ไม่ทราบ ต้องไปถามนายจเด็จ อินสว่าง ส.ว. ผู้เสนอ การยกเว้นรัฐธรรมนูญทำไม่ได้ รัฐธรรมนูญมี 200 กว่ามาตราจะไปยกเว้นได้อย่างไร สมัยก่อนพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรี เคยยกเว้น อันนั้นเป็นการยึดอำนาจ ไม่ขอตอบแล้ว ขอไปถามคนอื่นเถอะ ถ้าตอบจะกลายเป็นไปรับลูกนายจเด็จ คนหนึ่งเป็นปี่คนหนึ่งเป็นขลุ่ย คิดว่าไม่ควรตอบอะไรแล้ว
รธน.ให้ ส.ส.-ส.ว.มีอิสระโหวต
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มีกระแสกดดันว่า ส.ว.ต้องโหวตตามเสียงข้างมาก หน้าที่ของ ส.ว.ต้องทำตามเสียงข้างมาก หรือทำตามที่มาหรือเจตนารมณ์ของการเป็น ส.ว. นายวิษณุตอบว่า ไม่ตอบแล้ว อย่าว่าแต่ ส.ว.เลย ส.ส.เองพรรคจะไปบังคับให้เขาโหวตก็ไม่ได้ เขามีอิสระ รัฐธรรมนูญเขียนไว้เลยว่าเรื่องอื่นต้องโหวตตามพรรค และเรื่องไหนบ้างที่ต้องโหวตตามใจ สมัยปี 2562 มี ส.ส.ภูมิใจไทยคนหนึ่งที่ไม่ได้เลือกนายกฯ ใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ใครจะไล่เขาออกจากพรรคก็มีเรื่อง
“เสธ.หิ” ยัน “ลุงตู่” ไม่ชิงตั้ง รบ.
นายหิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีนายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ออกมาทวงสปิริต พล.อ.ประยุทธ์ให้ยอมรับความพ่ายแพ้ เตรียมเก็บของออกจากทำเนียบรัฐบาลว่า คนจะเป็นพระต้องบวชออกมาจากโบสถ์ก่อนไปบิณฑบาตได้ คนจะเป็นนายกฯต้องมาจากสภาฯ ไม่ใช่ตั้งกันที่ร้านอาหาร ขอถามถึงมุมมองคนวัยรุ่นหนุ่มสาวให้คิดถึงหัวอกของผู้หลักผู้ใหญ่บ้างว่า ที่ผ่านมาวัฒนธรรมเขามีมาแบบนี้ ต้องรักษาน้ำใจทางนี้บ้าง เราไม่ว่า แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล และการที่นายพิธาไปพบภาคเอกชนนั้นไม่เป็นไร แต่การไปเชิญสมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มาประชุม ทั้งที่เขาเป็นหน่วยงานราชการเหมาะสมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เตรียมส่งมอบงานให้กับรัฐบาลชุดใหม่แล้วตามบริบทใครจะมาเป็นนายกฯ ต้องรอสภา พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ยุ่งกับการตั้งรัฐบาล ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็น “เจนเทิลแมน” ไม่มีทางเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยแน่นอน
“แรมโบ้” เย้ยไปตั้งรัฐบาลให้ได้ก่อน
นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายรังสิมันต์ โรม อย่าทำเป็นแกล้งโง่ กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลยังอีกหลายขั้นตอน พล.อ.ประยุทธ์ยังทำหน้าที่บริหารตามกฎหมาย และพร้อมส่งมอบอำนาจหน้าที่ให้นายกฯคนใหม่และรัฐบาลใหม่อยู่แล้ว ไม่เคยก้าวก่ายการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล พร้อมเป็นฝ่ายค้านด้วยซ้ำ กกต.ยังไม่รับรองทำไมถึงอยากเป็นรัฐบาลขนาดนี้ ไปจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาบอกให้ พล.อ.ประยุทธ์เตรียมเก็บของ คงอยากเป็นจนตัวสั่น ยังไม่ทันตั้งรัฐบาลสำเร็จทำตัวเป็นนายกฯแล้ว ตอนนี้เมื่อยังไม่มีอำนาจบริหารประเทศ อย่าได้ก้าวก่ายหน้าที่คนอื่น อย่าเที่ยวไปครอบงำหรือสั่งราชการ เพราะประชาชนจะมองว่าเป็นนักการเมืองที่ไร้มารยาท
ภาค ปชช.ลุยยื่นถอดถอน ครม.
เวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว กลุ่มญาติวีรชน 35 ร่วมกับคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) และเครือข่ายภาคประชาชน แถลงถึงการเตรียมยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ถอดถอน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ ครม.ทั้งคณะ นายเมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป.และกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 กล่าวว่า วันที่ 6 มิ.ย.จะไปยื่นคำร้องให้ ป.ป.ช.ถอดถอน ครม.ทั้งคณะ เนื่องจากจงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชาติบ้านเมือง กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ ครม. ออก พ.ร.ก.เลื่อนการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ พ.ร.บ.อุ้มหาย ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากนายกฯ และ ครม.ไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งยังให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ออกมาแก้ต่างถือว่าใช้ไม่ได้ เรื่องคนอื่นบอกผิด พอเรื่องตัวเองบอกยุบสภาไปแล้วไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องลาออก ป.ป.ช.ต้องดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็ว จะปฏิเสธ และละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิได้ หากไม่มีความคืบหน้า หรือล่าช้า จะยื่นฟ้องอาญาเอาผิด ป.ป.ช.ตามมาตรา 157

บี้ ป.ป.ช.อย่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่
พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการ สป.ยธ. กล่าวว่า เมื่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า พ.ร.ก.ที่ ครม.ออกไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ สร้างปัญหาย้อนหลัง อาจมีเหตุให้ยกไปเป็นข้อต่อสู้ทางคดีว่า ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ขณะที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เข้าข่ายทำผิด จงใจละเว้นฝ่าฝืนการปฏิบัติหน้าที่ ป.ป.ช.ย่อมดำเนินการเอาผิดได้ไม่จำเป็นต้องมีผู้ยื่นคำร้อง เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.ต้องไต่สวน และส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือส่งให้ศาลฎีกาประทับรับฟ้อง ครม.ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เชื่อว่าทำได้ทันก่อนจัดตั้งรัฐบาลใหม่ อาจเป็นอีกตัวแปรของการเมืองไทย ช่องทางที่ทำได้คือต้องกดดันป.ป.ช.ให้ทำหน้าที่ตามมาตรา 135
3 ตัวตึงส้มยื่นสอบรองอธิบดีศาล
ที่ศาลอาญา นายรังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ “ลูกเกด” ว่าที่ ส.ส.ปทุมธานี และนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ยื่นหนังสือให้คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) สอบสวนทางวินัยรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา (นายอรรถการ ฟูเจริญ) ที่เร่งรัดพิจารณาคดีที่ น.ส.ชลธิชา ถูกฟ้องตาม ป.อาญามาตรา 112 โดยร่นเวลานัดสืบพยานให้เร็วขึ้นจนจำเลยไม่มีทนายความช่วยแก้ต่างซักค้านในการพิจารณาคดี น.ส.ชลธิชากล่าวว่า นายอรรถการใช้อำนาจและดุลพินิจ ในฐานะผู้พิพากษาในคดี เลื่อนการนัดสืบพยานในคดีมาตรา 112 ที่ตนเป็นจำเลยถึง 2 ครั้งให้เร็วขึ้น ในวันที่ทนายความของตนติดภารกิจที่ศาลอื่น ทั้งที่ส่งเอกสารคัดค้านแจ้งศาลไปแล้วทั้ง 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ขอศาลเลื่อนนัดสืบพยานแต่ไม่ได้รับอนุญาต ผู้พิพากษาแจ้งเพียงว่าเป็นดุลพินิจของศาล และสืบพยานฝ่ายโจทก์โดยที่ฝ่ายจำเลยไม่มีทนายความทั้งที่คดีมาตรา 112 มีอัตราโทษสูง มีการขอใช้สิทธิขอพบผู้บริหารศาล รวมถึงขอเปลี่ยนองค์คณะผู้บริหารศาล แต่ไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน จึงขอปฏิเสธกระบวนการที่เกิดขึ้นในศาลในวันที่ 1 มิ.ย.ทั้งหมด ขอตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำนี้เป็นการขัดขวางการทำหน้าที่ในสภาฯหรือไม่
ศาลแจงเลื่อนคดีเร็วตามระเบียบ
ขณะที่นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวชี้แจงว่า คดี น.ส.ชลธิชา เดิมกำหนดนัดสืบพยานช่วงเดือน ม.ค. 2567 แต่มีเรื่องการกำหนดกรอบระยะเวลาในกระบวนการยุติธรรม มีระเบียบประธานศาลฎีกาออกมาว่าคดีประเภทคดีอาญาสามัญควรพิจารณาคดีแล้วเสร็จตั้งแต่วันรับฟ้อง เลยมีการปรับปรุงวันนัดใหม่ให้เร็วขึ้น เลยมีประเด็นที่จำเลยโต้แย้งวันนัด เพราะทนายติดว่าความคดีที่ศาลอื่น แต่องค์คณะผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดี พิจารณาเห็นว่าจำเลยมีทนาย 2 คน หากคนหนึ่งไม่ติดคดีอะไรสามารถทำหน้าที่ได้ จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี มีการสืบพยานไป และตามหลักเกณฑ์กฎหมายกำหนดต้องมีการสืบพยานต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ได้ระบุว่าต้องสืบพยานต่อหน้าทนายจำเลย ฉะนั้นเรื่องของกระบวนพิจารณา กฎหมายกำหนดคือเรื่องของจำเลยเป็นหลัก
ให้ทนายศึกษาจากเทปวิดีโอได้
นายสรวิศยังกล่าวต่อว่า การสืบพยานโจทก์มีการอัดเทปหรือวิดีโอไว้ด้วย หากทนายจำเลยไม่ว่างสามารถไปศึกษาจากวิดีโอที่บันทึกไว้ เพื่อขอถามค้านในวันอื่นได้ แต่ น.ส.ชลธิชาโต้แย้งว่ากระบวนการพิจารณาไม่ชอบ จึงแจ้งต่อศาลว่าไม่ประสงค์ใช้สิทธิ์ตรงนี้ ส่วนการยื่นหนังสือถึง ก.ต.ขอให้ตรวจสอบการพิจารณาคดีขององค์คณะผู้พิพากษานั้น สามารถทำได้ ถือเป็นเรื่องปกติ หากเห็นว่าไม่ได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสม แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงในคดีที่เกิดขึ้น และคงไม่ได้เกี่ยวกับการเป็นว่าที่ ส.ส. การเร่งรัดคดีไม่ใช่เฉพาะคดีนี้ การปรับปรุงวันนัดมีการปรับปรุงในหลายคดีให้เร็วขึ้น คดีของ น.ส.ชลธิชาฟ้องมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งฟ้อง คงนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้