ที่สุดประชาชนชาวไทยก็ให้คำตอบสำหรับการเมืองที่ต้องพูดว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านหลังจากผู้คน 52 ล้านคนได้หย่อนบัตรเลือกตั้งเรียบร้อยไปแล้วปรากฏ “ก้าวไกล” มาอันดับ 1 “เพื่อไทย” อันดับ 2
จริงๆแล้วช่วงใกล้จะถึงวันกาบัตรมีปรากฏการณ์ให้เห็นคือโพยจากสำนักต่างๆที่สำรวจกันนั้นระบุว่า “ก้าวไกล” คะแนนเบียดมาตลอด
พูดง่ายๆว่าหายใจรดต้นคอและเริ่มนำมาที่ 1 ยังไม่รวมกับการที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ได้รับความนิยมเหนือ “อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา”
เท่ากับจะบอกว่า “เพื่อไทย” หมดโอกาสแลนด์สไลด์และถูกก้าวไกลแซงหน้าขึ้นแท่นอันดับ 1 และผลก็ออกมาเช่นนั้นจริงๆ
ประเด็นหนึ่งที่ต้องยอมรับกันก็คือสังคมไทยต้องการเปลี่ยนแปลงในทุกๆด้านในช่องทางการเมืองคือวิถีทางที่จะนำไปสู่ความเป็นไปอย่างเป็นรูปธรรม
“ก้าวไกล” คือพรรคการเมืองที่กอปรไปด้วยกลุ่มคนหนุ่ม-สาวรุ่นใหม่ที่มี “อุดมการณ์” มุ่งหวังแก้ไขปัญหาของประเทศ
ด้วยการเสนอแนวคิดที่สร้างความพึงพอใจอย่างเป็นรูปธรรมแม้บางเรื่องจะสุดโต่งไปบ้างจนทำให้สังคมเกิดความวิตกกังวลว่า “มันจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” กันเลยหรือ
แต่หลายเรื่องที่ถูกนำเสนอมาตรงใจและเป็นปัญหาที่เกาะกินใจมาช้านานและมองหาว่าใครพรรคไหนจะมาถอดสลักออกไปให้พวกเขาได้
ทำให้มองเห็นภาพความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเมื่อ “ก้าวไกล” เสนอตัวและนำข้อเสนอที่ตรงใจและความต้องการ
นั่นแหละคือความจริง
คนหนุ่ม-คนสาวที่แสวงหาจึงเริ่มแสดงออกและขานรับด้วยความมั่นใจและเชื่อว่านี่คือวิถีทางที่ควรจะเป็น
ต้องเปลี่ยนแปลงเท่านั้นจึงทำให้สังคมไทยไปต่อได้
...
เมื่อประชาชนมอบฉันทามติให้ “ก้าวไกล” แบกรับภารกิจก็ต้องได้รับโอกาสที่จะตั้งรัฐบาลชุดใหม่เพื่อบริหารประเทศ
เบื้องต้นได้ติดต่อทาบทามพรรคการเมืองคือเพื่อไทย ประชาชาติ เสรีรวมไทย ไทยสร้างไทย ซึ่งอยู่ในซีกฝ่ายค้านเดิม 309 เสียงตั้งรัฐบาล
ยืนยันว่าจะไม่ดึงฝ่ายรัฐบาลชุดปัจจุบันข้ามฟากมาร่วมด้วย
แม้เสียงจะไม่ถึง 376 เสียง แต่เชื่อว่าจะสามารถตั้งได้เพราะแม้จะต้องมีเสียงโหวตจาก ส.ว. แต่เมื่อรวมเสียงได้ถึง 309 เสียง
เชื่อว่า ส.ว.ไม่กล้าฝืนมติมหาชน
หากเป็นไปตามนี้ก็จะได้รัฐบาลชุดใหม่ที่มี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เข้าบริหารประเทศ
แต่ยังต้องมีการเจรจาพูดคุยกันในรายละเอียดซึ่ง “ก้าวไกล” ได้เสนอแนวทางการทำเอ็มโอยูให้ทุกพรรคยอมรับ
แม้จะเป็นเรื่องยากแต่ก็เป็นเรื่องใหม่ทางการเมืองซึ่งน่าจะเป็นมิติใหม่อันแตกต่างจากที่เคยปฏิบัติกันมา
คือการแบ่งโควตากระทรวงเท่านั้น
แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยการวางกรอบแนวคิดในการทำงานร่วมกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาก็น่าจะเป็นผลดีต่อรัฐบาลและประเทศชาติ.
“สายล่อฟ้า”