รัฐบาลประชาธิปไตย อาจเรียกว่าเป็นรัฐบาลหรือการปกครองของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คนไทยผู้มีสิทธิทั่วประเทศออกไปกาบัตร มอบหมายให้พรรคการเมืองฝ่ายเสรีนิยมเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลของประชาชนแล้ว โดยมีพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ

ผลการเลือกตั้งยังอาจถือว่าเป็นการออกเสียงประชามติเพื่อให้รัฐบาลที่สืบทอดอำนาจมา 9 ปี พ้นจากตำแหน่งด้วย ทั้งๆที่พรรคฝ่ายค้านได้พยายามมากว่า 4 ปี ที่จะปลด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากนายกรัฐมนตรี ด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกปี แต่ไม่สำเร็จต้องใช้ประชามติ

ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยังมีปัญหา แม้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศจะจับมือกับเพื่อไทย กับอดีตพรรคฝ่ายค้านอื่นๆรวม 6 พรรค รวม ส.ส.ได้ 309 เสียง แค่สองพรรคคือเพื่อไทยกับก้าวไกล รวมกันได้ 292 เสียงแล้ว ถ้าเป็นรัฐธรรมนูญปกติ จัดตั้งรัฐบาลได้

เพราะเป็นเสียงที่เกินกึ่งหนึ่งใน สภาผู้แทนราษฎรถึง 42 เสียง สามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มั่นคงได้อย่างสบาย และยังปิดทางไม่ให้พรรค 2 ลุง จับมือกับพรรคอื่นๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญพิสดารฉบับปัจจุบัน แม้พรรคก้าวไกลจะรวมเสียงได้ 309 เสียงแล้ว แต่ยังขาดอีก 67 เสียง

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นสัญญาณที่ชัดแจ้งว่าประชาชนส่วนใหญ่มอบหมายให้ฝ่ายเสรีนิยมเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลแค่สองพรรค คือพรรคก้าวไกลมี ส.ส. 151 คน และพรรคเพื่อไทย 141 คน รวมเป็น 292 เสียง ก็สามารถยับยั้งไม่ให้บรรดาอดีตพรรคร่วมรัฐบาลจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้

อาจจัดตั้งรัฐบาล เสียงข้างน้อยได้ แต่จะเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ และอาจถูกฝ่ายค้านล้มได้ทุกเมื่อ พรรคสองลุงไม่ควรตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยเด็ดขาด เพราะเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย ไม่ฟังความเห็นประชาชนที่ร่วมกันประกาศดังๆเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ประชาชนพูดชัดเจนแล้ว

...

แต่พรรคก้าวไกลก็ต้องระมัดระวัง อย่างยิ่ง ในการเจรจาและรวบรวม ส.ส.จัดตั้งรัฐบาลผสม อย่าให้ถูกมองว่าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่เป็นพรรคที่สุดโต่ง การเมืองเป็นเรื่องของการประสานประโยชน์ ไม่ใช่มุ่งเอาชนะคะคานอย่างเดียว อย่าให้ถูกมองว่าสุดโต่ง ต้องยึดหนทางสายกลาง.