ขนหัวลุก เหตุตื่นเต้นปาดหน้าเกมเลือกตั้ง กับเรื่องจริง ไม่อิงฉากภาพยนตร์ มหันตภัย “ซีเซียม-137” กัมมันตรังสีมหาภัย ถูกหลอมถลุงเป็นฝุ่นแดงในโรงงานที่จังหวัดปราจีนบุรี

เจ้าหน้าที่ตามเจอที่มา แต่ไม่รู้ที่ไป เสี่ยงกระจายฟุ้งถึงไหนต่อไหน

สารประกอบปรมาณูอานุภาพสูง แค่สัมผัสก็เสี่ยงตาย แต่นั่นก็ยังเป็นแค่ข่าวรองเรื่องการเมือง

ในจังหวะสุดทางลาก มีพระราชกฤษฎีกาประกาศ “ยุบสภา” ออกมาแล้ว เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา

เอาเป็นว่า เพลงแห่ รถหาเสียง เตรียมวอร์มเครื่องล่วงหน้า รอติดเบอร์ จังหวะนับหนึ่งสัปดาห์เริ่มต้น มหกรรมเลือกตั้งใหญ่เปิดสนามอย่างเป็นทางการ

เทศกาลประชันเพลงมาร์ชประจำพรรคคงคึกคักกระหึ่มเมือง

และตามฟอร์มการเลือกตั้งแบบไทยๆ อันดับแรกก็ต้องโฟกัสที่ กทม.สนามปราบเซียน ที่ทำสำนักโพลสารพัดยี่ห้อหน้าแหกมานักต่อนัก เพราะอารมณ์คนกรุงพลิกไปพลิกมาได้ตลอดเวลา

กระสุนไม่มีความหมาย กระแสแค่ปัจจัยประกอบ

คำตอบสุดท้ายของพวก “บ้านมีรั้ว” ยากต่อการคาดเดา ตามเงื่อนไขสถานการณ์มาถึงตรงนี้ ยังไม่เห็นวี่แววยี่ห้อไหนจะมาแรง แซงคู่แข่งกวาด ส.ส.สนามเมืองหลวงแบบถล่มทลาย

...

โอกาสแชร์แต้มยังมีให้ทุกพรรคได้วิ่งชิงปักหลักจองพื้นที่ในเมืองกรุง

และที่แน่ๆตามเงื่อนไขน่าจะโยงกับคะแนนเสียงเลือกตั้งเชิงคุณภาพใน กทม.กับสัญญาณจากภาคธุรกิจ เสียงของตัวแทนนักลงทุน ที่กำหนดสเปกรัฐบาลชุดใหม่

เน้นไปที่ทีมเศรษฐกิจที่จะมารับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกถดถอย

อุตตม สาวนายน
อุตตม สาวนายน

ไล่ตั้งแต่นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ที่ตั้งแท่นรอนำสมุดปกขาว ข้อเสนอเอสเอ็มอีเข้าไปยื่นนำเสนอข้อแนะนำต่อพรรคการเมืองที่มีแนวโน้มจัดตั้งรัฐบาลใหม่

ลุ้นดรีมทีมเศรษฐกิจที่เป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการ เพื่อรับมือกับโจทย์โคตรยาก ปัจจัยภายนอกจะกระทบเครื่องยนต์หลัก ทั้งภาคการส่งออก ภาคการท่องเที่ยว ภาคการค้า และภาคการเกษตร

ขณะที่นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร แสดงความเป็นห่วง หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้า ไม่เป็นที่ยอมรับ จะทำให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเกิดความไม่มั่นใจได้ สิ่งที่ภาคเอกชนและนักธุรกิจเฝ้าดูคือ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จะต้องมีเสถียรภาพ ทีมเศรษฐกิจต้องมีความรู้ ความสามารถจริงๆ

จับอารมณ์นักลงทุน กระแสเลือกตั้งเชิงคุณภาพ มองไปที่เศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลัก

แน่นอน เทียบฟอร์มเป็นต่อก็ต้องยกให้ทีม “นายห้างดูไบ” ค่ายเพื่อไทยที่ได้แต้มบุญเก่ายี่ห้อ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ติดตลาดเรื่องการทำชาวบ้านกินดีอยู่ดี

ภาษีเหนือกว่าคู่แข่ง ออกตัวได้แรงกว่า

แต่ถ้าว่ากันเฉพาะในฝ่ายของขั้วตรงข้าม มุมของพรรคร่วมรัฐบาลชุดปัจจุบัน เทียบฟอร์มค่ายพลังประชารัฐ ยี่ห้อภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา ไปยันน้องใหม่ป้ายแดง ค่ายรวมไทยสร้างชาติ

ต้องยกให้ยี่ห้อทีมเศรษฐกิจของ “บิ๊กบราเธอร์” ทรงมวยดีกว่าใคร

อนุทิน ชาญวีรกูล
อนุทิน ชาญวีรกูล

จับทางจากการปราศรัยประเดิมเวทีใหญ่ลานคนเมือง กทม.สดๆร้อนๆ นายอุตตม สาวนายน ประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ พปชร. โชว์ของสารพัดนโยบายเพื่อปากท้อง เน้นไปที่ “กองทุนประชารัฐ” วงเงิน 300,000 ล้านบาท เพื่อแก้หนี้ให้ประชาชนเบ็ดเสร็จ เติมทุนประกอบอาชีพสร้างรายได้

เสริมด้วย “เฮียมิ่ง” นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อีกหนึ่งมือโปร ก็โชว์ “น้ำมันประชาชน” เปิดโพยคิดราคาดีเซล เบนซิน ไฟฟ้า พลังงานราคาถูก มาล่อใจชาวบ้าน

อัดฉีดโปรโมชันดันนโยบายกู้ปัญหาปากท้องแลกแต้ม

ชั้นเชิงไม่เป็นรองค่ายดูไบ มวยหลัก มืออาชีพบริหารเศรษฐกิจ ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โชว์ออกหมัดได้เนื้อได้หนังกว่าใครในหมู่ทีมอำนาจ 3 ป.เดิม

เพิ่มเติมคือ เหลี่ยมคูการเมือง เกมเขี้ยวของ “พี่ใหญ่”

กับภาพวงอาหารกลางวันบ้านป่ารอยต่อฯที่ “เสี่ยหนู” นาย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าค่ายภูมิใจไทย ยอมรับเต็มปากเต็มคำว่า “ปิดดีล” แท็กทีมล่วงหน้า

กระตุกรัศมี “บิ๊กป้อม” แจ่มกว่าใคร ในขั้วอำนาจ 3 ป.

ทีมข่าวการเมือง