“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ซัด “ลุงตู่” ไร้วุฒิภาวะ หลังถาม “เศรษฐา” เก่งตรงไหน ตอกกลับ “ประเทศไทยไม่ใช่ค่ายทหาร” เมิน “จตุพร” วิเคราะห์ซ้ำซาก ไม่ให้ค่า “สนธิญา” หลังยื่น กกต. สอบคุณสมบัติ

วันที่ 2 มี.ค. 2566 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาวิจารณ์ นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ว่า “เขาเก่งตรงไหน เขาเด่นตรงไหน เขาทำอะไร และประเทศไทยไม่ใช่ธุรกิจครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง” ว่า ทุกคนทราบว่าประเทศเป็นของทุกคน ส่วน นายเศรษฐา เก่งอย่างไรนั้น คนในแวดวงธุรกิจทราบกันดี ไม่เหมือน พลเอกประยุทธ์ ที่อยู่ในค่ายทหารมาตลอดชีวิต และประกาศตัวเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล

พลเอกประยุทธ์ ควรนิ่ง และควรแสดงวุฒิภาวะ หรือใจกว้างมากกว่านี้ พลเอกประยุทธ์ ต้องสำนึกว่าตัวเองเติบโตมาในชีวิตราชการอย่างไร แต่ส่วนตัวและประชาชนจำนวนมาก เห็นภาพว่าเติบโตมาจากเส้นสายกองทัพ กลุ่มบูรพาพยัคฆ์ ส่งต่ออำนาจกันมาเป็นทอดๆ จนเป็นกลุ่ม 3 ป.ในปัจจุบัน อีกทั้งเมื่อเข้ามาทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองตลอด 8 ปี ไม่เชื่อว่าประชาชนจะมองพลเอกประยุทธ์เป็นที่พึ่งที่หวัง หรือเห็นอนาคตของตัวเองภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จึงอยากเน้นย้ำว่า “ประเทศไทยไม่ใช่ค่ายทหาร และประชาชนก็ไม่ใช่พลทหาร”

ดังนั้นอำนาจหรือแนวทางของพลเอกประยุทธ์ไม่สอดรับกับสิ่งที่ประเทศควรจะเป็น แต่ในส่วนของพรรคเพื่อไทยจะขับเคลื่อนนโยบาย และการทำงานอย่างหนักให้ประชาชนได้รับทราบ และเดินหน้าเป้าหมายแลนด์สไลด์ต่อไป อย่างไรก็ดีขอมอบกำลังใจให้พลเอกประยุทธ์ และฝากบรรดานักการเมืองรอบตัวอย่าเร่งไฟให้แรงมาก เพราะจะไหม้ก่อน ขอให้ใช้ไฟอ่อน เพราะเมื่อถึงวันเลือกตั้งก็ตุ๋นให้เปื่อยพอดี

...

ส่วนกรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ออกมาเตือน นายเศรษฐา ว่าจะเจอทุกขลาภ หลังเปิดหน้าสู่การเมือง นายณัฐวุฒิ มองเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่มั่นใจไม่กระทบกับการตัดสินใจเดินเข้าการเมืองของ นายเศรษฐา และไม่กระทบกับการทำงานของพรรคในสนามเลือกตั้ง เพราะการเมืองแบบนี้ใครที่เดินเข้าสนามเลือกตั้งถือเป็นเรื่องยาก ย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถาม และมีทั้งเห็นด้วยและเห็นต่าง แต่เชื่อว่า นายเศรษฐา รู้เรื่องราวเหล่านี้ดี เมื่อตัดสินใจร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยแล้วไม่ว่าจะเจอกับอะไรในเส้นทางการเมือง คนของพรรคเพื่อไทยก็จะร่วมเผชิญด้วย เพราะเราทำงานเป็นทีม

นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงกรณี นายวันชัย สอนศิริ ส.ว. ที่ออกมาพูดถึงแนวทางการหนุนเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ต้องเป็นไปตามเสียงข้างมาก ว่า ส่วนตัวไม่ยึดติดกับท่าทีการแสดงออกจากนายวันชัย และหาก ส.ว.คิดแบบเดียวกันก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้ายังดึงดันฝืนมติประชาชนสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ ก็ถือเป็นชะตากรรมของประเทศ ซึ่งไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น และตลอดเวลา 8 ปีมานี้ไม่ควรมีองค์กรใด บุคคลใด หรืออำนาจใดขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชน ดังนั้นรับทราบสิ่งที่นายวันชัยพูด แต่ไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้จะมีคำทำนายอะไรออกมาหรือหรือไม่

นายณัฐวุฒิ ยังพูดถึงกรณีที่ นายสนธิญา สวัสดี ยื่น กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติของตนเองในการช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ ว่า ตนเองไม่ได้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เพียงแค่ต้องคำพิพากษาศาลให้จำคุกเท่านั้น โดยกฎหมายกำหนดเพียงเรื่องคุณสมบัติการลงสมัคร ส.ส. คือ ห้ามมิให้ผู้ต้องคำพิพากษาไม่เกิน 10 ปี ลงสมัครรับเลือกตั้ง และคดีที่โดนจำคุกนั้นมีเพียงคดีที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง และฝ่ายกฎหมายของพรรคตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองโดยละเอียดอยู่แล้ว หลังจากนี้จะเดินหน้าพบปะประชาชนไปกับพรรคเพื่อไทยมุ่งสู่เป้าหมายแลนด์สไลด์ต่อไป.