ประเด็นการเมืองไทยที่กลายเป็นข่าวประจำวันในช่วงใกล้การเลือกตั้งน่าจะได้แก่ประเด็นที่ว่า “กลุ่ม 3 ป.” แตกกัน จริงหรือแตกแค่หลอกๆ ล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องชี้แจงผ่านจดหมายเปิดผนึก เล่าเรื่องตั้งแต่การเข้าร่วมรัฐบาล คสช. ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
พล.อ.ประวิตรชี้แจงว่ากองทัพภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์จำเป็นต้องยึดอำนาจเพื่อยุติวิกฤตการณ์ของบ้านเมือง ทั้งๆที่คณะรัฐประหาร คสช.ไม่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านการเมือง เพราะเป็นทหารอาชีพมาทั้งชีวิต และ พล.อ.ประยุทธ์ประสงค์จะทำการเมืองต่อ โดยอ้างว่าเพื่อสานต่องานที่ค้างอยู่
จึงร่วมกันจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เพื่อต่อสู้ทางการเมือง พรรค พปชร.ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ชนะ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี แต่บัดนี้แสดงจุดยืนชัดเจน ไปร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติ ตนจึงพูดไม่ออก ได้แต่อวยพรให้ประสบความสำเร็จ ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยแสดงความน้อยใจ พปชร.ในทำนองเดียวกัน
จดหมายเปิดใจของ พล.อ.ประวิตร ยืนยันถึงอุปนิสัยส่วนตัวของ พล.อ. ประยุทธ์ ที่ชอบสัญญาว่าจะขอเวลาอยู่ต่อไม่นาน ทั้งในบทเพลง หลังจากยึดอำนาจ เมื่อเร็วๆนี้ก็บอกชาวนาสิงห์บุรีว่าเดินทางมาครึ่งทางแล้ว (8 ปี) จะขอไปต่อ พล.อ. ประวิตรยอมรับว่าคณะรัฐประหารไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการเมือง
แต่จำเป็นต้องยึดอำนาจ เพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ของประเทศ คณะรัฐ ประหารชอบอ้างเหตุผลแบบนี้มาเกือบทุกคณะ ไม่เฉพาะแต่ คสช.ซึ่งเป็นคณะที่ 13 ที่ยึดอำนาจสำเร็จ ที่ยึดไม่สำเร็จกลายเป็นกบฏอีกเกือบ 20 คณะ ล้วนแต่ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการเมือง การบริหารประเทศ และการเศรษฐกิจ แต่จำใจทำ
จึงไม่น่าแปลกใจ รัฐบาลจากรัฐประหารส่วนใหญ่มักจะล้มเหลวในการแก้ปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทำให้การเมืองของประเทศถอยหลัง เศรษฐกิจทรุดโทรม ประชาชนยากจน หนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งหนี้รัฐและหนี้ราษฎร์ คณะ คสช.สัญญาว่าจะขจัดความขัดแย้งในสังคม และสร้างความสมานฉันท์
...
แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เหตุผลสำคัญเพราะ คสช.กลายเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง เนื่องจากการรัฐประหารก่อให้เกิดความขัดแย้ง ระหว่างคณะรัฐประหารกับกลุ่มประชาชนผู้ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ส่วนคณะรัฐประหารยึดมั่นระบอบอำนาจนิยม เชื่อมั่นว่าทุกปัญหาสามารถแก้ด้วยอำนาจเผด็จการ.