ถือเป็นอีกหนึ่งคดีการเมืองที่ฝืนความรู้สึกของคนทั้งประเทศ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 วินิจฉัยว่า การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่ครบ 8 ปีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคสี่ ความเป็นนายกฯ ยังไม่สิ้นสุดลงตามมาตรา 170 วรรคสอง ประกอบมาตรา 158 วรรคสี่ โดยให้เริ่มนับวาระดำรงตำแหน่งนายกฯตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ประกาศใช้ (วันที่ 6 เม.ย.2560) และให้ พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งถูกสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่กลับไปปฏิบัติหน้าที่นายกฯตามเดิม
อภินิหารทางกฎหมายเกิดขึ้นอีกครั้ง ผลการวินิจฉัยนี้ตรงข้ามกับความเห็นของ อาจารย์กฎหมายนับร้อยคนจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่เคยรวมตัวแสดงความเห็นสู่สาธารณชน อย่างไรก็ตาม ในเมื่อระบบของบ้านเราให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาด คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร จะถูกใจหรือไม่ถูกใจก็ต้องรับสภาพตามคำวินิจฉัยให้เริ่มนับการดำรงตำแหน่งนายกฯตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.2560 บิ๊กตู่จึงยังมีสิทธิเป็นนายกฯต่อได้อีก 2 ปี 6 เดือน
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือบรรดาม็อบทั้งหลายเริ่มก่อหวอดนัดรวมพลแสดงพลังทันที และคงจะมีการชุมนุมถี่ๆ เพื่อสะท้อนความไม่พอใจกระบวนการยุติธรรมกับการรวบอำนาจ ต้องจับตาดูว่าม็อบจะจุดติดไหม ผมหวังว่าการชุมนุมแต่ละครั้งจะไม่มีการใช้ความรุนแรง พึงระวังไว้มีพวกจ้องก่อรัฐประหารอยู่ ใครจะไปร่วมชุมนุมที่ไหน ลองพิจารณาดูด้วยว่าแกนนำม็อบนั้นน่าเชื่อถือแค่ไหน มีเจตนาแฝงหรือไม่
และถ้าการชุมนุมลากยาวไปจนถึงช่วง การประชุมเอเปก กลางเดือน พ.ย. ก็ขออย่าให้มีเหตุร้ายแรงจนทำให้เสียชื่อประเทศ สถานการณ์ห้วงนี้เอาแค่ปลุกกระแสการตื่นรู้ร่วมกันของสังคมก็น่าจะพอเหมาะพอควร อย่างไรเสียหลังเอเปกก็คงได้ฤกษ์ยุบสภา ภายในรัฐบาลแตกกันเละจนยากจะประคองแล้ว
...
มีคำถามน่าคิด หาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคพลังประชารัฐยังจะชูบิ๊กตู่เป็นนายกฯอีกไหม ต่อให้มีเสียง ส.ว.เป็นกองหนุนช่วยโหวตหนุนให้ตั้งรัฐบาล แต่บิ๊กตู่จะอยู่ทำหน้าที่ได้อีกแค่ 2 ปีเศษ บริหารงานได้ไม่ครบเทอม สั่งงานได้ไม่เต็มร้อย นโยบายขาดช่วง แล้วกองเชียร์ยังจะฝากอนาคตไว้อีกหรือ ส่วนคนกลางๆไม่รักไม่เกลียดบิ๊กตู่ ระยะหลังก็เริ่มเบื่อแล้ว
ตั้งแต่ยุค คสช.ลากยาวมา 8 ปีบนตำแหน่งนายกฯ ชาวบ้านประจักษ์ชัดถึงผลงานและความสามารถของบิ๊กตู่เป็นอย่างดีแล้ว ขนาดโพลที่แอบเชียร์รัฐบาล ผลสำรวจออกมาคะแนนมีแต่แย่ลง เพราะประเทศเต็มไปด้วยปัญหาหมักหมม เศรษฐกิจตกต่ำ หนี้เพิ่ม เงินไม่พอใช้ ระบบการเมืองพิกลพิการ สิ่งที่เคยต่อว่าต่อขานนักการเมืองเอาไว้ ยุคบิ๊กตู่เกิดวงจรอุบาทว์ยิ่งกว่า
เงินเฟ้อเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก หนำซ้ำสงครามรัสเซีย-ยูเครนก็ทำท่าจะลากยาวไปอีก ไทยได้รับผลกระทบไปด้วย สินค้าอุปโภคบริโภค อาหาร ค่าพลังงาน ค่าขนส่ง ขึ้นราคาทุกอย่าง แต่รัฐบาลบิ๊กตู่ไม่มีปัญญาช่วยเหลือดูแลอย่างเป็นรูปธรรม ทำได้แค่แจกเศษเงินซื้อเวลา
สัปดาห์ก่อนคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 0.75 เป็นร้อยละ 1.00 ต่อปี เพื่อพยุงภาวะเงินเฟ้อ แต่ก็ทำให้ลูกหนี้ มีภาระดอกเบี้ยมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อรายย่อย เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบุคคล สินเชื่อบัตรเครดิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุครัฐบาลบิ๊กตู่หนี้ครัวเรือนพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ไตรมาส 2/2565 ตัวเลขหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 88% ของจีดีพี ขณะที่ยอดผู้ลงทะเบียน โครงการรับสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) มีมากกว่า 18.7 ล้านคน หรือประมาณ 28% ของคนไทยทั้งประเทศ
ถึงแม้บิ๊กตู่พยายามกลบขยะใต้พรม หวังชู “กลยุทธ์ 3 แกน” มาสร้างกระแส แต่ชาวบ้านอดสงสัยไม่ได้ว่าอยู่มา 8 ปีทำไมเพิ่งคิด หนำซ้ำกลยุทธ์ 3 แกนก็ไม่ได้แจ่มว้าว ประเทศเพื่อนบ้านทำไปก่อนหน้านานแล้ว
จะคิดมุกหาเสียงทั้งที ดันเจอมุกแป้ก ผิดกับฝ่ายค้านยังไม่ทันขยับตัวมาก แค่ได้แผลวาระนายกฯ 8 ปีก็หาเสียงง่ายขึ้นเป็นกอง ช่วยเพิ่มโอกาสแลนด์สไลด์.
ลมกรด