การเมืองไทยในอนาคตอันใกล้นี้จะออกหัวออกก้อยกลายเป็นเรื่องชินชาสำหรับชาวบ้านทั่วไปที่เห็นปรากฏการณ์ ยุบสภา ยึดอำนาจ ปรับ ครม. สำหรับการเมืองไทยเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

การออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ของกลุ่มการเมืองต่างๆไม่สร้างแรงจูงใจที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแต่อย่างใด ตั้งเวทีรอก็แล้ว เรียกร้องให้ออกมาชุมนุมก็แล้ว ไม่มีวี่แวว การชุมนุมทางการเมืองที่มีคนออกมาเยอะเหมือนวิกฤติการเมืองที่ผ่านมา

โฟกัสไปที่คน 3 กลุ่ม แกนนำเคลื่อนไหวทางการเมือง แยกวงไปคนละทิศละทางคนละขั้ว สลับขั้วสลับข้าง ทำให้ไม่มีเอกภาพในการขับเคลื่อน ไม่เกิดแรงจูงใจ ไม่มีการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง สมมติถ้ากลุ่มเด็กกับกลุ่มผู้ใหญ่รวมตัวกันมาไล่รัฐบาลจริงๆ เอาทุกกลุ่มมารวมกัน รัฐบาลก็นั่งไม่ติดเหมือนกัน

กลุ่มต่อมาก็คือ กองทัพ ระยะหลังกองทัพไม่ค่อยจะมายุ่งกับการเมือง หรืออาจจะยุ่งไม่สะดวกเพราะคนคุ้นหน้ากันทั้งนั้น สมัยก่อนถ้าการเมืองร้าวฉานนิดหน่อย ผบ.เหล่าทัพ ออกมาตั้งโต๊ะแถลงกันเรียบร้อยไปแล้ว

กลุ่มสุดท้าย องค์กรอิสระ นักวิชาการ ที่มีส่วนให้ วิกฤติการเมือง จะดุเดือดมากน้อยขนาดไหน สมัยนี้ไม่เห็นนักวิชาการ หรือองค์กรอิสระออกมากระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนทางการเมืองแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นเครื่องมือของอำนาจปัจจุบันในการ ขัดขวาง การเคลื่อนไหวทางการเมืองไปฉิบ

การเมืองฉายไฟไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในบริบทที่จะร่วมทางกันไปได้อย่างไร หรือต้องแยกทางกัน ล้วนแต่มีความสำคัญต่อการเมืองในอนาคตทั้งสิ้น

สมมติผลการวินิจฉัย พล.อ.ประยุทธ์ ของศาลรัฐธรรมนูญ (คาดว่าจะไม่เกิน 24 ก.ย.นี้) ออกมาเป็นลบ ก็จะมีปัญหาที่ตำแหน่ง รมว.กลาโหม ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังคาราคาซัง พล.อ.ประยุทธ์ ยอมลาออกก็จบไป แต่ถ้าไม่ออก ก็มีแค่สองทางเลือกคือ อยู่ไปจนกว่าจะเลือกนายกฯใหม่ มีรัฐบาลใหม่ หรือจะให้เร็วกว่านั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ใช้อำนาจปรับ ครม.ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

...

แต่ถ้าออกมาเป็นบวก พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อจะ 2 ปีหรือ 4 ปี การเมืองก็จะไปอีกหน้า อย่างน้อยการขับเคลื่อนทางการเมือง ในการไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะไม่ต่างสมัยออกมาไล่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในรัฐบาล ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การเมืองก็อึมครึมกันไปอย่างนี้ จนถึงปีหน้า

ด่านสำคัญคือการเลือกนายกฯและตั้งรัฐบาลใหม่ในกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ความเป็นไปได้ของแคนดิเดตนายกฯในบัญชีการเมือง มีน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นอนุทิน ชาญวีรกูล หรืออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือฝ่ายค้าน ชัยเกษม นิติสิริ และถ้าจะเลือกนายกฯก๊อกสองจะให้พล.อ.ประวิตรมาเป็นนายกฯอย่างที่รำลือ ต้องใช้เสียงทั้ง ส.ส.และส.ว.ในสภา 2 ใน 3 ให้เลือกนายกฯคนนอกให้ได้ก่อน นั่นหมายความว่า ต้องใช้เสียงจากฝ่ายค้านด้วย ถ้าใช้เสียงฝ่ายค้านก็ต้องพลิกขั้วกันใหม่เป็นรัฐบาลแห่งชาติ

หรือก็อยู่กันแบบงงๆไปจนกว่าจะครบวาระ.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th