การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และ 10 รัฐมนตรีเป็นครั้งสุดท้ายในรัฐบาลนี้ เปิดฉากขึ้นอย่างดุเดือดเผ็ดมัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ถูกโจมตีว่าไร้ประสิทธิภาพ ไร้วิสัยทัศน์ ไร้จิตสำนึกยึดติดอำนาจ ไร้จริยธรรม ทุจริตเฟื่องฟู และแพร่กระจายไปทุกอณู

รัฐมนตรีส่วนใหญ่ถูกกล่าวหา ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ใช้อำนาจหน้าที่แสวงผลประโยชน์ให้ตนเอง และพวกพ้อง รัฐมนตรีอย่างน้อย 2 คน ถูกกล่าวหาทุจริตเชิงนโยบาย หรือผลประโยชน์ทับซ้อน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีแรงงาน ถูกกล่าวหานำแรงงานต่างชาติเข้ามา เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อนายทุนใหญ่

ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสาธารณสุข ถูกโจมตีว่านโยบายกัญชาเสรีที่โด่งดัง มุ่งประโยชน์หาเสียงทางการเมือง ซํ้ายังกล่าวหาว่ามีนักการเมืองใหญ่ เข้าไปลงทุน ก้อนโต เพื่อปลูกกัญชาในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาขายให้ประเทศไทย เป็นการทุจริตเชิงนโยบาย โดยอ้างประเทศบังหน้า

นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเกือบทุกคน ถูกกล่าวหาจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รัฐมนตรีบางคนถูกกล่าวหาประพฤติเสื่อมเสียทางศีลธรรม เพราะฉะนั้น หลังเสร็จสิ้นการลงมติ คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ชนะตามประชามติ เพราะคุมเสียงข้างมากฝ่ายค้านต้องไม่ยอมแพ้แค่นั้น แต่จะต้องเดินหน้าต่อไป

นั่นก็คือจะต้องดำเนินการให้มีการฟ้องรัฐมนตรี ที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตต่อศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต กฎหมายถือว่านักการเมืองที่ทุจริต จะต้องได้รับโทษอย่างสาสม ไม่ปล่อยให้มีการแจกกล้วยลิง กันครั้งละ 3 หวี 8 หวี กันอย่างครึกครื้น

...

ทำให้การทุจริตโกงกินของนัก การเมือง กลายเป็น “นิวนอร์มอล” ทำลายเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของ ส.ส. ประชาชนเสื่อมศรัทธานักการเมือง เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ส่วนรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาทุจริตผลประโยชน์ทับซ้อน ต้องยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ และให้ศาลฎีกาเป็นผู้ตัดสิน

ถ้าข้อกล่าวหาทั้งหมดของพรรคฝ่ายค้านเป็นความจริง ย่อมเป็นหลักฐาน แสดงว่าวงการเมืองไทยมีการใช้อำนาจหน้าที่จากการดำเนินนโยบายต่างๆของรัฐบาลกันอย่างเอกอัครมโหฬาร นักการเมืองส่วนใหญ่ต่างอ้างว่าทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ และประชาชน เพื่อประชาชนเผ่าไหนกันแน่.