ไพ่ใบสุดท้าย... เริ่มวันแรกในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำหนดเอาไว้ 4 วัน คือ 19-22 ก.ค.65 ลงมติในวันที่ 23 ก.ค.65

ดูจากยุทธศาสตร์ของพรรคฝ่ายค้านที่เปิดซักฟอก 11 คน เท่ากับว่าไม่มีทีเด็ดทีขาดที่จะควํ่ากันกลางสภาได้

พูดง่ายๆคือไม่มีข้อมูลเจ๋งๆที่จะหวดให้อยู่หมัด

ต้องอาศัยจับมาเรียงหน้ากระดานแล้วฟาดเป็นรายๆไป หยิบเอาพฤติกรรมของแต่ละคนมาขยี้ให้เห็นเป็นภาพติดตาถึงความเลวร้าย

เป็นเครื่องช่วยตัดสินใจเวลากาบัตรเลือกตั้ง

สิ่งที่น่าสังเกตอยู่อย่าง ก็คือนักการเมืองในรุ่นปัจจุบันจะต่างกับที่ผ่านมา คือการทำการบ้านหาข้อมูล ซึ่งเป็นทีเด็ดในการซักฟอกรัฐมนตรี

จะเห็นได้ว่าการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจจะไม่มากครั้งเหมือนปัจจุบันเป็นครั้งที่ 4 แล้ว แต่ไม่สามารถทำให้รัฐบาลระคายเคือง

แต่ก่อนนี้ถึงเวลาเปิดซักฟอกจะมีทีเด็ดและเด็ดจริงๆ ใครโดนเข้าไปถึงกับหนาวๆร้อนๆจนไข้ขึ้นเลยก็ว่าได้

นั่นทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงมีความหมาย และคาดหมายถึงการเปลี่ยนแปลงได้เลย ไม่จนกลางกระดานก็ต้องลาออกเมื่อจบการอภิปราย

ก็ไม่รู้ว่าเหตุมันเป็นไปอย่างนี้ได้อย่างไร

จะว่ารัฐมนตรีไม่มีความด่างพร้อย ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน ก็ไม่น่าจะใช่ แต่เป็นเพราะฝ่ายค้านไม่สืบเสาะหาข้อมูลที่ลึกๆ น่าจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า

หรือว่าความเจริญก้าวหน้าของโลก ข่าวสาร และข้อมูลที่มีความรวดเร็ว และกระจายออกไปอย่างกว้างขวาง

ทำให้ไม่มี “ความลับ” บนโลกใบนี้...

เหล่านี้ทำให้การทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหารของฝ่ายค้าน จึงไม่ค่อยศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นปาหี่แสดงวาทกรรมกัน

เพื่อล้มล้างกันเท่านั้น...

การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ก็เช่นกัน คือยังไม่ทันได้ฟังว่าอภิปรายอะไรกันบ้างก็สามารถตัดสินได้แล้วว่าผลจะออกมาอย่างไร

...

และรู้อีกว่าฝ่ายค้านไม่สามารถจะควํ่ารัฐบาลได้

ตรงกันข้ามกลับไปมองกันที่พรรคเล็กๆที่เคลื่อนไหวทางการเมืองมาตลอดไม่มีจุดยืนแน่ชัดว่าอยู่ฝ่ายไหนกันแน่

จะเป็นฝ่ายรัฐบาลก็ได้จะเป็นฝ่ายค้านก็ได้ โดยมีผลประโยชน์แลกเปลี่ยนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งทำให้การเมืองมีรอยด่างไม่ได้พัฒนา

ไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านในรูปแบบที่ควรจะเป็น

แต่อยู่ที่ฝ่ายต้องการผลประโยชน์อย่างเช่นรอกินกล้วยจากฝ่ายรัฐบาล หรือประโยชน์ทางการเมืองจากฝ่ายค้านในอนาคตข้างหน้า

นี่คือปัญหาอย่างหนึ่งของการเมืองไทย

จริงอยู่ในการเรียกร้องให้มีพรรคการเมืองหลายพรรคเพื่อป้องกันการผูกขาดหรือเผด็จการรัฐสภา

แต่ถ้ามีพรรคการเมืองในลักษณะอย่างนี้ทำลายมากกว่าสร้างสรรค์.

“สายล่อฟ้า”