เริ่มแล้วครับวันนี้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ 11 รัฐมนตรี 4 วัน 4 คืน ตั้งแต่ 19-22 กรกฎาคม ของ พรรคร่วมฝ่ายค้าน ก่อนจะ ลงมติไม่ไว้วางใจวันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นหมายเลขหนึ่ง ทำสถิตินายกฯที่ถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจมากที่สุดในประวัติศาสตร์ รัฐบาลเดียวถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจถึง 3 ครั้ง แต่ก็รอดมาด้วยกล้วยทุกครั้ง แม้จะได้คะแนนไว้วางใจต่ำกว่ารัฐมนตรีลูกน้องตัวเองก็ตาม การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้คงไม่ต่างจากเดิมมากนัก มีข่าวมาแต่ไก่โห่ว่า มีการขนกล้วยเข้าสภากันเป็นรถบรรทุก พรรคเล็กพรรคน้อยอยากกินกล้วยกันใจจะขาด

เทียบกับ นักการเมืองอังกฤษ แล้ว ทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น นายบอริส จอห์นสัน นายกฯอังกฤษทำผิดแล้วไม่ยอมลาออก ไม่ต้องรอให้ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายในสภา ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และ รัฐมนตรีร่วมรัฐบาล แสดงสปิริตเอง ยื่นลาออกกันกว่า 60 คน ทำให้ นายบอริส จอห์นสัน อยู่ไม่ได้จำใจต้องลาออกจากนายกฯ ประชาธิปไตยแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลและรัฐสภาไทย

เมื่อดู เกมฝ่ายค้าน ที่ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 11 คน ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมา แต่กลับไม่ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯและรัฐมนตรีพลังงาน ทั้งที่เป็นรัฐมนตรีคนสำคัญรับผิดชอบเรื่อง น้ำมันแพง ก๊าซแพง ไฟฟ้าแพง ที่ประชาชนเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ล่าสุด คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในสังกัด กระทรวงพลังงาน เพิ่งไฟเขียวให้ ขึ้นค่าเอฟทีไฟฟ้าอีกหน่วยละ 1 บาท ตั้งแต่เดือนกันยายน ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าขึ้นอีกหน่วยละ 1 บาท เป็นหน่วยละ 5 บาท ทำให้ค่าไฟฟ้ายุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ฝ่ายค้านกลับไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีพลังงาน และยังไม่มีเหตุผลมาอธิบายต่อสังคม

...

ผมเห็นด้วยกับ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ พรรคไทยสร้างไทย ที่ออกมาคัดค้านการขึ้นค่าไฟอีกหน่วยละ 1 บาท เป็น 5 บาท โดยให้เหตุผลว่า 3 การไฟฟ้ายังกำไรกันบานเบิก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีกำไรสะสมเก็บไว้มหาศาลกว่า 660,000 ล้านบาท โดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ มีกำไรสะสมเก็บอยู่ 374,000 ล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง มีกำไรสะสมเก็บอยู่ 110,000 ล้านบาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีกำไรสะสมเก็บอยู่ 180,000 ล้านบาท บริษัทลูกของ กฟผ. เช่น บริษัทผลิตไฟฟ้าจำกัด มีกำไรสะสมเก็บอยู่ 55,000 ล้านบาท บริษัทราชกรุ๊ป มีกำไรสะสมเก็บอยู่ 37,000 ล้านบาท

กำไรสะสมเหล่านี้ เป็นเงินที่บริษัทต้องนำออกมาใช้เวลาเกิดปัญหา วันนี้ ถึงเวลาแล้วที่ 3 การไฟฟ้าต้องนำออกมาใช้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ไม่ใช่การขึ้นค่าไฟกับประชาชนอีก เพื่อคงกำไรของตัวเองไว้ เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ คุณหญิงสุดารัตน์ ยังไม่ได้เปิดเผยก็คือ ปี 2565 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งมีการจ่าย “โบนัส” ให้พนักงานทุกคน โดยให้เหตุผลว่า เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจที่ทำกำไรส่งรัฐบาล แสดงว่าการไฟฟ้าทุกแห่งยังมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ การที่รัฐบาลมาอ้างบุญคุณว่า กฟผ.ช่วยอุ้มค่าไฟเป็นแสนล้านบาทแล้ว จึงต้องขึ้นค่าไฟโหดกับประชาชน จึงฟังไม่ขึ้นจริงๆ

ประชาชนยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก เมื่อได้อ่านบทวิเคราะห์จาก บล.เอเซียพลัส ว่าการขึ้นค่าเอฟทีครั้งนี้ เป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า หลังจากที่ได้ปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศ หนุนให้มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ค่า ft ที่ปรับขึ้นทุก 1 สตางค์ จะส่งผลให้ BGRIM มีกำไรเพิ่มขึ้นราว 21 ล้านบาทต่อปี GPSC มีกำไรเพิ่มขึ้นราว 60 ล้านบาทต่อปี การขึ้นค่า ft ครั้งนี้ รัฐบาลประยุทธ์ขึ้นค่า ft สูงถึง 100 สตางค์ ก็ส่งผลให้ บีกริมกำไรเพิ่มขึ้น 2,100 ล้านบาทต่อปี จีพีเอสซีกำไรเพิ่มขึ้น 6,000 ล้านบาทต่อปี ยังไม่มีตัวเลขว่า 3 การไฟฟ้าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นอีกกี่หมื่นล้านบาท แล้วโยนให้ประชาชนแบกภาระในยามที่ลำบาก

บริหารประเทศกันแบบนี้ อย่าลืมดู ศรีลังกา เป็นตัวอย่างนะครับท่านนายกฯ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”