แก้รัฐธรรมนูญเพื่อศึกชิงอำนาจ... กฎหมายลูก 2 ฉบับคงจะเข้าสภาในสัปดาห์นี้ เพราะมิฉะนั้นจะทำให้เกิดปัญหาวาระต่างๆไม่ลงตัว โดยเฉพาะการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำหนดคร่าวๆคือ 19 ก.ค.65 เป็นต้นไป

2 ประเด็นสำคัญที่ผ่านวาระแรกไปแล้วตามที่ กมธ.เสียงข้างมากผลักดันจนผ่านไปสู่วาระที่ 2-3 ที่รัฐสภาจะชี้ขาด

ประเด็นแรกคงไม่มีปัญหาคือ บัตรเลือกตั้งที่จะใช้แบบแยกเบอร์ไม่ใช้เบอร์เดียวกันในการเลือกผู้สมัครและพรรคการเมือง

ประเด็นที่ 2 แรกๆที่ทำท่าว่าจะไปได้สวยตามที่ กมธ.เห็นชอบคือ ที่มาของ ส.ส.บัญชีรายชื่อจะใช้การคำนวณด้วยการเอา 100 หาร

พูดง่ายๆว่าพรรคไหนได้คะแนน 3.5 แสนคะแนน ก็จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คนทันที

อีกสูตรหนึ่งคือเอา 500 หาร ใครได้คะแนนแค่ 8 หมื่นคะแนน ก็จะได้ ส.ส. 1 คนทันทีเช่นกัน

เมื่อการคิดคำนวณต่างกันผลจึงออกมาต่างกันพรรคการเมืองไหนได้ประโยชน์จากสูตรไหนก็จะเลือกเอาสูตรนั้น

ต่างฝ่ายต่างก็เอารัฐธรรมนูญมาอ้าง เพื่อให้ได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะคำว่า ส.ส.พึงมีอันเป็นเจตนารมณ์ของรัฐ ธรรมนูญปี 60

ดังนั้นพรรคการเมืองแต่ละพรรคจึงเห็นต่างกัน และเลือกสูตรที่คิดว่าจะทำให้ได้ประโยชน์มากกว่า

“เพื่อไทย” ต้องการชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ 250 เสียงขึ้นไป ก็จะชอบเบอร์เดียวทั้งประเทศและการเอา 100 หาร

เพราะนอกจากทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำเบอร์ได้ง่ายสะดวกในการกาบัตรและการใช้ 100 หาร ก็จะได้ประโยชน์เต็มๆเพราะด้วยคะแนน 3.5 แสนคะแนนนั้นเป็นเรื่องไม่ยาก

นั่นหมายรวมถึงพรรคการเมืองระดับกลางอย่างประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทยที่เห็นตรงกับเพื่อไทย เพราะคิดว่าเป็นทางเลือกที่จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด

...

แม้แต่พลังประชารัฐก็ไม่ต่างกัน เพราะคิดว่าจะได้เปรียบจากกติกานี้จึงเริ่มเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ต้น

มีแต่พรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็กเท่านั้นที่ไม่ค่อยชอบใจนัก เนื่องจากเสียเปรียบอย่างชัดเจน

หรืออย่างพรรคก้าวไกลที่เคยได้ประโยชน์จากกติกาการเลือกตั้งจนทำให้ได้ ส.ส.เข้ามาเป็นจำนวนมากในนามพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไปแล้ว

ต่างกับเพื่อไทยที่แม้จะได้ ส.ส.เขตมากที่สุด แต่ไม่ได้ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์แม้แต่คนเดียว จึงต้องผลักดันให้มีการแก้ไขกฎกติกาอย่างเต็มที่

แต่การเมืองมันเป็นเรื่องที่ “นกมีหูหนูมีปีก” ยิ่งประกาศเจตนารมณ์จะต้องแลนด์สไลด์กวาดเรียบทั้ง ส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์

มันเลยเจอแรงต้านไปทั้งระบบ

ขนาดว่าพลังประชารัฐที่เคยคิดว่าจะได้ประโยชน์ยังต้องกลับลำหันมาใช้สูตรหารด้วย 500 ไม่ต่างไปจากประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย

เพราะต่างก็กลัวเพื่อไทยแลนด์สไลด์ซึ่งมีความเป็นไปได้

เช่นกัน ส.ว.ที่เคยหนุนสูตรหารด้วย 100 ก็เริ่มเปลี่ยนท่าทีเพราะมีความรู้สึกไม่ต่างกันที่สำคัญก็คือต้องเอาใจคนแต่งตั้งด้วยในยามนี้

ที่สำคัญก็คือจะส่งต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย.

“สายล่อฟ้า”