โดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 151 ระบุไว้ หากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำมิได้
นั่นหมายถึงว่า นับจากวันที่ 15 มิถุนายน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านได้นำขบวนพรรคร่วมฝ่ายค้าน ประกอบด้วยพรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย ฯลฯ เข้ายื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร และได้มีการบรรจุญัตติฯไว้ในวาระการประชุมสภา
ดาบอาญาสิทธิ์ “ยุบสภา” ถูกยึดโดยอัตโนมัติ
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ไม่สามารถล้มกระดานหนีได้
ต้องอยู่ให้ฝ่ายค้าน “ล่อเป้า” รุมถล่มในสภา
ตามญัตติดุเดือด เชือด “เหมาเข่ง” ไล่ทุบรายตัว ขึงพืดนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พ่วงกับ 10 รัฐมนตรี รวมเป็น 11 ราย ตั้งข้อกล่าวหาพ่วงด่าประจานกันแสบทรวง
1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ตลอดระยะเวลาร่วม 8 ปีที่บริหารประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรี ผิดพลาดล้มเหลวไม่สามารถแก้ปัญหาให้ประเทศ ไม่สามารถสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนได้เลย ตรงกันข้ามเป็นต้นตอให้ปัญหาที่มีอยู่มีความซับซ้อน
ไร้ภูมิปัญญา เป็นผู้นำที่พิการทางความคิด

...
2.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ มีพฤติการณ์ฉ้อฉล ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ รู้เห็นเป็นใจหรือปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตให้องค์กรหรือหน่วยงานที่กำกับดูแล
สร้างความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
3.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข จงใจไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มุ่งสร้างความมั่งคั่งในตำแหน่งหน้าที่รู้เห็นเป็นใจหรือปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตและแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ
ทำตนเป็นแบบอย่างของการหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต เมื่อพบเห็นการทุจริตกลับปกป้องและไม่ดำเนินการแก้ไข
4.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จงใจไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มุ่งสร้างความมั่งคั่งในตำแหน่งหน้าที่
5.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย จงใจไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มุ่งสร้างความมั่งคั่งในตำแหน่งหน้าที่
6.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ บริหารราชการแผ่นดินโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติมีพฤติการณ์ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง
ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในกระทรวงคมนาคม เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องและพรรคการเมืองที่ตนสังกัด

7.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว บกพร่องอย่างร้ายแรง มีความประพฤติเสื่อมเสียทางศีลธรรมอันดี
ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
8.นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมฯ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ล้มเหลว ไร้ความรู้ความสามารถในการดูแลงานด้านพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
การใช้งบประมาณแผ่นดินกลับมุ่งเพื่อแสวงผลประโยชน์สำหรับตนเองและพวกพ้อง
9.นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติกรรมทุจริตต่อหน้าที่ปล่อยปละ ละเลยให้มีการทุจริตและแสวงหาผลประโยชน์ในหน่วยงานที่กำกับดูแล เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน ไม่ดูแลรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ
ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

10.นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ไร้ความรู้ ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย สนับสนุนให้มีการทุจริตและแสวงหาผลประโยชน์ภายในหน่วยงานที่กำกับดูแล
ไม่ตรวจสอบ ระงับ ยับยั้งและป้องกันการทุจริต ทำให้เกิดความเสียหายต่อราชการอย่างร้ายแรง
11.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตและประพฤติมิชอบต่อหน้าที่กระทำการอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใหญ่ในการใช้ประโยชน์จากแรงงานโดยผิดกฎหมาย
ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
1 บวก 10 ไม่ได้ผิดโผจากที่สื่อมวลชนรายงานตามโพยแพร่งพรายไปก่อนหน้าสักเท่าไหร่
นอกจากเซอร์ไพรส์ชื่อของนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมฯ ที่โผล่แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ขณะที่นายสุชาติ ชมกลิ่น ชื่อผลุบๆโผล่ๆ มีกระแสว่าจะหลุดช่วงท้ายๆ แต่ไปๆมาๆก็ไม่รอดสันดอน
ผู้โชคดีใน ครม.ถูกลากขึ้นเขียงเชือดสังเวย ประจานพร้อมผู้นำ
ไล่กันตามรายชื่อก็ไม่ผิดจากยุทธศาสตร์ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านประกาศไว้ล่วงหน้า “เด็ดหัว–สอยนั่งร้าน”

การล็อกเป้าพี่น้อง 3 ป. อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ มัดเป็นพวงใหญ่ นั่นก็ชัดเจนเป็นการทุบหัวขบวนขุมอำนาจทหารเฒ่า 3 ป.
ต่อด้วยการพังนั่งร้านในค่ายพลังประชารัฐ ไล่ตั้งแต่นายสันติ ในฐานะเลขาธิการพรรค พปชร. นายสุชาติ และนายชัยวุฒิ ในฐานะฟันเฟืองค่าย 3 ป.
ถัดมาก็ล่อเป้าพรรคร่วมรัฐบาลอันดับสอง อันประกอบไปด้วยนายอนุทิน นายศักดิ์สยาม หัวหน้าและเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ตามด้วยพรรคร่วมรัฐบาลอันดับสาม คือ นายจุรินทร์ กับนายนิพนธ์ หัวหน้าและรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
มัดเป็นพวงประจาน ขบวนการบริหารล้มเหลวผิดพลาด
ประทับตรา “ลูกหาบอำนาจรัฐบาลทหารเฒ่า 3 ป.”
ตามรูปเกมล็อกเป้าโฟกัสแกนกลางอำนาจรัฐบาล ประกอบกับญัตติเชือดที่ใช้คำดุเดือดเผ็ดร้อน และลีลาแบบที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แบไพ่เป็นเชิง
จะน็อกรัฐมนตรีกลางสภา และให้ไปตายในสนามเลือกตั้ง
นั่นก็หมายความว่า ฝ่ายค้านเองก็ไม่ได้หวังถึงขั้นจะทำให้ “ยุบสภา” แต่อย่างใด ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้าย ทิ้งทวนก่อนหมดเทอมสภา 4 ปีรอบนี้ก็คือเวทีหาเสียงล่วงหน้า
ทุกพรรคตั้งธงไว้ที่การโหมกระแสเลือกตั้งรอบต่อไป

ตามวาระของรัฐบาลและสภาเหลือเวลาอีกแค่ 9-10 เดือนเท่านั้น
โดยสคริปต์ของฝ่ายค้านต้องด่าประจานเชิงบริหารรัฐบาลทหารเฒ่า 3 ป. ที่ห่วยแตก โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจปากท้อง ล้ออารมณ์ผู้คนในสังคมที่กำลังยากลำบากจากภาวะข้าวยากหมากแพง
แทงใจดำผู้นำทหารอาชีพที่แก้เรื่องเศรษฐกิจไม่ตก
รวมไปถึงการเปิดแผลทุจริต การเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง พฤติการณ์คอร์รัปชันที่ไม่ได้แตกต่างไปจากรัฐบาลในอดีต แถมยังหนักมือกว่าจากข่าวคราวไม่ชอบมาพากลที่ถูกเปิดโปงออกมา
ฝ่ายค้านน่าจะหวังสร้างศรัทธา ดึงแนวร่วมได้ก็ถือว่าเข้าเป้าแล้ว
ตามแนวโน้มเงื่อนไขสถานการณ์เดิมพันจริงๆที่ต้องจับตามากกว่า เล่นกันล้ำลึกกว่า ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจทิ้งทวนครั้งสุดท้ายเทอมสภา
มันอยู่ที่การ “เจาะยาง” กันเองในฝ่ายรัฐบาล
ยุทธการ “ถอนแค้น” เอาคืนในขุมข่ายอำนาจ 3 ป. เองที่หักลำกันมาก่อนหน้า
โดยจุดสังเกตคือรัฐมนตรี “ตัวแถม” ที่โผล่มาแบบเซอร์ไพรส์ อย่างนายจุติ ที่ไม่เคยมีข่าวระแคะระคาย ตรงกันข้ามก็คนที่หายไปจากโผคือนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
ตามกระแสข่าววงในฝ่ายค้านเองยังงงๆ สลับชื่อสลับดอกกันยังไง
ที่เซอร์ไพรส์กว่านั้น กลายเป็นคนใน ปชป.เองที่ประสานข้อมูล ส่งชื่อเข้าบัญชีเชือดของฝ่ายค้านนาทีสุดท้าย ด้วยเหตุที่นายจุติตกเป็นเป้าเขี่ยพ้น ครม. ต้องเคลียร์โควตารัฐมนตรี ปชป.
เพราะตอนหลังไปอิงแอบกับทีม กปปส.ของ “ลุงกำนัน” ปันใจออกห่างพรรค
สถานการณ์ใกล้เคียงกับคิวของนายสุชาติที่จะหลุดไม่หลุด สุดท้ายก็ติดโผตามคาด อารมณ์แบบที่เจ้าตัวโวยวาย รู้เลยว่าเป็นรายการ “คุณขอมา” จากคนนอกฝ่ายค้าน ชงชื่อขึ้นเขียงเชือด
โดยไม่ต้องเฉลยกันเลยว่า หมายถึงใคร เพราะก่อนหน้านี้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศก็รู้กันดีว่า โจทก์ตัวฉกาจของนายสุชาติ ก็คือ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมา แข่งบารมี แย่งกันเป็นใหญ่ในค่ายพลังประชารัฐ
และนั่นยังหมายรวมถึงนายชัยวุฒิ ที่ “ผู้กองนัส” ขู่ให้ระวังจะตกเก้าอี้รัฐมนตรี พ่วงด้วยนายสันติ ที่เคยมีข่าวถึงขั้นจะวางมวยกันต่อหน้า “บิ๊กบราเธอร์” มาแล้ว
แนวโน้ม “สุชาติ-ชัยวุฒิ-สันติ” ต้องลุ้นเบียดกันหนีแต้ม “บ๊วย”
เพราะนั่นจะมีผลไปถึงการปรับ ครม.หลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามธรรมชาติการเมืองในช่วงท้ายเทอมรัฐบาลต้องมีการปรับเปลี่ยนเชิงบริหาร เพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง
ใครพลาด “กินบ๊วย” มีหวังโดนกำจัดจุดอ่อน
ตามเดิมพันมันก็ไม่แปลกที่สถานการณ์จะเข้าทางขบวนการต่ำเอี่ยว เสียงเดียวก็เสียวได้ ผู้แทนฯพรรคเล็ก บรรดา ส.ส.งูเห่า ไปยันทีมเศรษฐกิจไทยของ “ผู้กองนัส” ที่สถานะลักปิดลักเปิด
แต้มสวิงโหวตมีค่ายิ่งกว่าทองคำ
ยุทธการ “ตบกล้วย” วิ่งแจกซองกันว่อนสภาแน่.
“ทีมการเมือง”