“3 ป.” ออกงานโชว์ตัวพร้อมหน้า...เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีมหาดไทย ที่เมืองทองธานี
ไปร่วมงานพร้อมหน้าพร้อมตาในการเปิดโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่มีสุภาพสตรีไปร่วมงานจำนวนมาก
พูดง่ายๆว่าพอหาเสียงคะแนนกันได้
ที่สำคัญก็คือเป็นการแสดงออกว่าทั้ง 3 พี่น้อง แห่งบูรพาพยัคฆ์ ยังรักใคร่กลมเกลียวกันดีไม่มีแตกแยกอย่างที่มีความพยายามที่จะให้เป็นเช่นนั้น
อย่างข่าวเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์จะไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และดัน พล.อ.ประวิตรไปเป็นประธานที่ปรึกษา
มางานนี้ 3 พี่น้องทุกอย่างถือว่าจบ...
แต่ที่ยังไม่จบก็คือจะทำยังไงเพื่อชนะเลือกตั้งที่รออยู่ข้างหน้า จึงต้องแสดงตัวตนให้ชาวบ้านชาวช่องได้รู้ว่าพวกเขา ยังจะสู้ต่อบนสนามการเมือง
ประเด็นก็คือ ทำยังไงให้พลังประชารัฐเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งหลังจากเมื่อปี 62 ทำมาแล้ว และประสบความสำเร็จ
เพียงแต่สภาพการณ์และสถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากในบริบทที่ต่างกันลิบลับการจะชนะได้
จึงต้องครบเครื่องทุกเรื่องราว
พรรคพลังประชารัฐ คงเป็นพรรคหลักที่จะเข้าสู่เกมชิงชัยในครั้งนี้ คงไม่มีพรรคสำรองหรือพรรคทางเลือกอีกแล้ว
เพราะแค่พรรคเดียวก็รากเลือดแล้ว...
ดูจากรูปการณ์แล้ว หลังจากที่เขย่ากันมาหลายยกหลากรูปแบบทำท่าจะเข้าที่เข้าทางนั่นคือจะมีการเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการกันใหม่
นั่นหมายความว่าหัวหน้าพรรคยอมรับความจริงแล้วว่าหากปล่อยให้เป็นไปด้วยการใช้บารมีอย่างเดียวไม่พอ
มันต้องใช้อำนาจ บารมี เงินและการบริหารงานที่เป็นระบบ
...
ที่สำคัญก็คือบุคคลที่เป็นกำลังสำคัญในพรรคตอนนี้เริ่มเป็นหนึ่งใจเดียวกัน ทำให้ปัญหาต่างๆที่เคยเกิดขึ้นมาจบลงโดยปริยาย
และทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ใครทำให้พรรคเกิดปัญหาปั่นป่วนวุ่นวาย จนเมื่อพ้นจากพรรคไปแล้วทุกคนจึงโล่งและหันหน้าเข้ามาร่วมกันได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่าพลังประชารัฐจะต้องมี “3 ป.” เป็นหัวขบวนจึงจะก้าวต่อไป แต่ต้องไม่ลืมว่าบรรดานักการเมืองที่รวมกันอยู่ในปัจจุบันก็มีความสำคัญอีกด้วย
หากสามารถหลอมรวมกันได้อย่างนี้ยังพอมีโอกาส
เพราะมีข่าวมาก่อนหน้านี้ว่าถ้าแกนนำสำคัญของพรรคไม่แก้ไขปัญหาภายในต่างก็คิดตรงกันว่า ทางเดียวก็คือตัวใครตัวมัน
“พี่ใหญ่-พี่รอง-น้องเล็ก”...อย่าคิดว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง
แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วและพร้อมจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้ หากไม่หันหน้าเข้ามาร่วมมือร่วมใจที่จะสู้กันต่อไป
ยังมีนักการเมืองอีกนับร้อยชีวิตที่พร้อมจะร่วมมือกันต่อไป ก็ถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วอย่างนักการเมืองใหญ่บางคน
ที่ไม่ยอมหยุด ยังพาคนในตระกูลมาประสบชะตากรรมอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น.
“สายล่อฟ้า”