บรรยากาศการเมืองคงคุกรุ่น “เขย่ารัฐบาล” ตลอดปี 2564 อันมี “คนรุ่นใหม่” ออกมาชุมนุมขับไล่ไม่เว้นแต่ละวัน แล้วยังเจอ “ศึกชิงอำนาจในพรรครัฐบาล” ที่สร้างรอยแตกร้าวขยายขึ้นเรื่อยๆ

ท่ามกลาง “การระบาดโควิด-19” ที่ยังไม่คลี่คลายภายใต้การบริหารจัดการอันผิดพลาดส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยประชาชน จนเกิดความไม่พอใจลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องกระพือเหตุความรุนแรงส่งผลร้ายให้ “รัฐบาล และรัฐสภาไม่ราบรื่น” มีเกณฑ์สัญญาณในปี 2565 “การเมือง” เปลี่ยนใหม่อีกระลอก

บรรดาหมอดูต่างออกมาเปิดตำราโหราศาสตร์ทำนาย “ดวงชะตาบ้านเมืองในปี 2565” ลักษณะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ บอกว่า เริ่มจาก “ดาวมฤตยู” เป็นดาวบาป เคราะห์ให้โทษมากกว่าให้คุณ หากเคลื่อนไปจุดใด มักมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่เสมอ

ตอนนี้ “ดาวมฤตยูอยู่ในราศีเมษ” มาตั้งแต่ 7 ปีก่อน แล้วมีการเปลี่ยนแปลง คสช.ยึดอำนาจนำมาสู่การปฏิรูปประเทศในปี 2565 “ดาวมฤตยู” โยกเกณฑ์ร้ายก่อให้เกิดความยุ่งยากต่อ “รัฐบาล...รัฐสภา” จากการประท้วงขับไล่ ไม่พอใจกฎหมาย มีการปฏิบัตินอกกฎหมาย เกิดกบฏรัฐประหารนำมา สู่การเปลี่ยนแปลงใหม่

...

ต่อมาวันที่ 7 ก.ค.2565 “ดาวมฤตยูโคจรมาราศีพฤษภ ภพที่ 2 ของ ดวงเมือง” เป็นเรือนกดุมภะ แปลว่า เศรษฐกิจ การเงิน การคลังของประเทศ มีปัญหาขรุขระนำไปสู่การแก้ระเบียบใหม่ ในวันที่ 1 ธ.ค.2565 ก็ถอยหลังมายังราศีเมษอีกครั้ง จนถึงวันที่ 8 มี.ค.2566 ที่ย้อนกลับมาอยู่ราศีพฤษภไปอีก 7 ปี

ถัดมาก็เป็น “ดาวเสาร์” ประธานฝ่ายบาปพระเคราะห์โคจรเข้าสู่ “ราศีมังกร ภพที่ 10 ของดวงเมืองตลอดปี 2565” แล้วพระเสาร์โคจรเข้ามาตรงนี้ “ได้มาตรฐานเป็นเกษตร หมายถึง ความมั่นคง” ข้อดีคือ “รัฐบาล” จะรักษา ตำแหน่งได้ ฉะนั้น การบริหารแผ่นดินและออกกฎหมาย ย่อมมีความราบรื่นดี

แต่ด้วย “ดาวเสาร์โคจรอยู่ราศีมังกร” แล้วเกิดการเล็ง “ดวงจันทร์อยู่ในราศีกรกฎ” ซึ่งดวงจันทร์มีความหมายว่า “จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก” มักแสดงถึงให้ประชาชนไม่พอใจเห็นต่างขัดแย้งฝ่ายรัฐบาลสู่การเรียกร้อง ชุมนุมประท้วงอันนำความอับโชคมาสู่ผู้ปกครอง หรือรัฐบาลตามมาก็ได้

ย้ำด้วยว่า “ฐานอำนาจฝ่ายรัฐบาล” เริ่มขาดความนิยม ขาดความน่าเชื่อมั่นแล้วกำลังผู้สนับสนุนก็ลดน้อยถอยลงจนกระทั่ง “แพ้คะแนนเสียง” ถ้ามีการเลือกตั้งกันขึ้นนี้มัก “ประสบความล้มเหลว” ยิ่งกว่านั้นสิ่งต้องระวัง ผู้นำ หรือบุคคลสำคัญ อาจเจ็บป่วย หรือสูญเสีย...

ทำให้เกิดความยุ่งยากในวงทางการเมืองของประเทศตามมาได้

ตำราโหราศาสตร์ “พระเสาร์” มีวงรอบการโคจร 2 ปีครึ่งต่อราศี ใน 12 ราศีใช้เวลาโคจรครบ 30 ปี ฉะนั้น การโคจรมาในราศีมังกรมักมีเหตุการณ์ สำคัญย้อนหลังวงรอบ 30 ปี พบว่า ปี 2535 “เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ” จลาจลปราบปรามมีการสูญเสียชีวิตของประชาชน และนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ศึกษาต่อย้อนไปอีก 30 ปี ก็เป็นปี 2505 มีเหตุการณ์การเมือง การปกครองแบบเผด็จการในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำให้ประชาชน นักศึกษา ไม่พอใจหนีเข้าป่าจัดตั้งกองทัพปลดแอกชิงอำนาจรัฐ จนมีการปราบปรามรุนแรงคราวนั้น “คนไทยสู้รบกันเอง” ถัดมาจอมพลสฤษดิ์ก็เสียชีวิตลงเปลี่ยนการปกครองใหม่

ถ้าย้อนอีก 30 ปี ก็เป็นปี 2475 ปฏิวัติสยามเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และอีก 30 ปีตรงกับปี 2445 ปฏิรูปการปกครองจนมี “กบฏทั่วทุกภาค”

เกิดการปราบปรามอย่างหนัก ทั้งภาคเหนือเกิดกบฏเงี้ยว ภาคอีสานกบฏผีบุญ ภาคใต้หัวเมืองมีขบวนการแบ่งแยกดินแดน

“ปีนี้อายุเมือง 240 ปี...ย่างปี 241 เป็นปีที่ดาวเสาร์โคจรในราศีมังกรภพที่ 10 ของดวงเมืองครบวงรอบ 30 ปีที่เป็นดาวกาลีจะมีเหตุความรุนแรงหนัก ฉะนั้นการยุบสภาฯเลือกตั้งใหม่เป็นทางออกไม่นองเลือดได้” อ.ภิญโญว่า

ตอกย้ำด้วยในปี 2565 ก็มีห้วงสำคัญ “ดาวอังคาร” เทพเจ้าแห่งสงครามการต่อสู้ อุบัติเหตุ เภทภัย ในวันที่ 26 ก.พ.-7 เม.ย. “โคจรมาในราศีมังกร กุมดาวเสาร์” ตามโหราศาสตร์ดาวอังคารได้มาตรฐานมหาอุด เสาร์ได้มาตรฐาน เกษตร แต่ทำมุมฉากกับดาวมฤตยูและพระราหู ที่อยู่ในราศีเมษที่อาจมีความรุนแรงได้ช่วงนี้

หนำซ้ำระหว่างวันที่ 26 มิ.ย.-9 ส.ค. ดาวอังคารโคจรเข้ามาราศีเมษกุมดาวพระราหู ดาวมฤตยูที่โคจรอยู่ในราศีเมษแล้วทำมุมฉากกับพระเสาร์ในราศีมังกร ที่มีพระอาทิตย์อยู่ในราศีกรกฎเล็งดาวเสาร์เพ็ญเป็นมาตรฐานเกษตรแสดงให้เห็นว่า “ประชาชนจะมีพลัง” ฉะนั้นถ้าไม่ยุบสภาฯอาจมีเหตุความรุนแรงทางการเมืองได้

ดังในตำราโหราศาสตร์เขียนไว้บทหนึ่งว่า “พระเสาร์แลอังคารท่านอภิปราย พักรในราศีร้ายจำเพาะมี คือ พฤษภสิงห์มีนธนูพักรว่าร้ายนักทำนายไว้สี่ราศีจะเกิดความฉิบหายวายชีวี พระธรณีจะดูดกินซึ่งเลือดคน” เป็นคำพยากรณ์เตือนการเกิดเรื่องร้ายไว้ จำเป็นต้องหาทางคลี่คลายสถานการณ์ให้เบาบางลง

สุดท้าย “ดาวพฤหัส” ในโหราศาสตร์ถือว่าเป็นประธานฝ่ายศุภเคราะห์ ที่จะคุ้มครองชะตาบ้านชะตาเมืองในวันที่ 28 พ.ย.2564-8 เม.ย.2565 “โคจรอยู่ในราศีกุมภ์” เป็นภพที่ 11 หรือภพลาภะ มักให้คุณต่อดวงเมืองที่ยันความ มั่นคงให้รัฐบาลและรัฐสภาที่ต้องเผชิญหน้าฝ่ายต่างๆ สามารถรักษาเสถียรภาพตัวเองไว้ได้

แล้วยังได้รับการสนับสนุนจากบางฝ่ายโดยเฉพาะ “ภพที่ 11 หรือภพลาภะมักให้คุณ” แต่พอหลังจากวันที่ 8 เม.ย.2565-19 เม.ย.2566 “ดาวพฤหัสโคจรอยู่ในราศีมีน” เป็นภพวินาศให้โทษ แม้ดาวพฤหัสจะได้มาตรฐานเป็นเกษตรแสดงถึงความมั่นคง เมื่อต้องอยู่ในภพวินาศดาวพฤหัสนี้ไม่อาจคุ้มชะตาบ้านชะตาเมืองได้

กลายเป็นเปิดโอกาสให้ “ดาวบาปพระเคราะห์ร้าย 5 ดวง” ตั้งแต่ พระเสาร์ พระอังคาร พระราหู มฤตยู ดวงอาทิตย์ เข้ามาย่ำยีดวงเมือง ทำให้ ต้องระวังในช่วงนี้ประชาชนลุกฮือขึ้นมานำสู่เหตุการณ์ร้าย ทางออกปัญหา “รัฐบาลอาจต้องยุบสภาฯ” จัดการเลือกตั้งใหม่อันเป็นการลดสถานการณ์ไม่นำไปสู่ความรุนแรงได้

ประการต่อมา “ดวงนายกรัฐมนตรีเดิมแล้วท่านมีดวงความมั่นคง” ทำให้รักษาอำนาจตำแหน่งเอาไว้ได้ แต่ด้วย “ดาวเสาร์” โคจรมาทับลัคนาตัวของท่าน ดังคำพยากรณ์ว่า “เสาร์จรประทับลัค คนนั้นจะหม่นหมอง เสียทรัพย์ และสิ่งของ ครุเหตุจะพึงมี ดังโปริสาทราษฎรนั้นก็ขับหนี จากขัตติยาศรี ศิริราชนคร”...ทำให้มีการชุมนุมขับไล่ให้เห็นอยู่แล้ว เหตุการณ์ดาวเสาร์โคจรทับลัคนาบุคคลนี้เคยปรากฏในสมัย “อดีตนายกฯทักษิณ” คราวนั้นไม่ชัดเท่าครั้งนี้ ในปี 2547-2549 ดาวเสาร์โคจรในราศีกรกฎทำมุมตรงข้ามราศีมังกรแล้ว ดาวเสาร์ทับตนุลัคน์ พระจันทร์ พระอาทิตย์ ทำให้มีการเดินขบวนขับไล่สู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ทว่าปีนี้ “ดวงเมืองตรงกันคือดาวเสาร์เป็นกาลี แต่ว่าดวงตัวนายกฯเป็นคนละดวงกัน” ในการชุมนุมประท้วงขับไล่ครั้งนี้จะรุนแรงยิ่งขึ้น ฉะนั้น ต้องหาทางผ่อนคลาย เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้มักมีพลังบางอย่างเข้ามาแทรกนำสู่การเปลี่ยนแปลงตามมาได้ โดยเฉพาะช่วงดาวอังคารโคจรในราศีเมษในวันที่ 26 มิ.ย.-9 ส.ค.นี้

ประเด็น “การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.” ต้องเทียบเคียงดวงเมืองประเทศ ที่มีศูนย์กลางอำนาจตั้งไว้ในกรุงเทพฯ มีคำทำนาย “ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่” ต้องพยากรณ์ตาม “ดาวพฤหัส” เป็นดาวมหาชนโคจร 2 ช่วง...

คือ ในช่วงแรก “โคจรอยู่ในราศีกุมภ์ หรือภพที่ 11” ในวันที่ 28 พ.ย.2564-8 เม.ย.2565 ที่ช่วยส่งผลดีต่อฝ่ายรัฐบาลแน่ๆ

หากว่าจัดการเลือกตั้งหลังจากนั้นไป “ดาวพฤหัสโคจรอยู่ในราศีมีนที่เป็นภพวินาศ” ตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.2565-19 เม.ย.2566 แล้วดาวพฤหัสจะไม่คุ้มชะตาบ้านชะตาเมือง

“ผู้ปกครองบ้านเมือง” ก็อาจเกิดความเพลี่ยงพลํ้าพลิกผันให้ “ฝ่ายตรงข้าม หรือฝ่ายค้าน” มีโอกาสได้รับชัยชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ไปครองก็ได้

ทั้งหมดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นตลอดปี 2565 “ดวงเมืองไทย” เจอวิกฤติซ้อนวิกฤติจนร้อนเป็นไฟ “คนไทยต้องประคองชีวิต” ผ่านพ้นไปให้ได้ ด้วยกัน แล้ว...“ดวงบาปพระเคราะห์” จะโคจรออกดวงเมืองปี 2566 สิ่งเลวร้ายจะผ่านนำเรื่องดีๆเข้ามาแทนเอง.