ไต่ระดับดีขึ้นแค่ไม่กี่อึดใจ ก็ทำท่ากลับมาใจหายใจคว่ำอีกรอบ

โควิดประเทศไทยเริ่มกลับมาน่าห่วง คลัสเตอร์ใหม่ สายปาร์ตี้ งานบุญ งานเลี้ยง งานแต่ง งานศพผุดกันถี่ๆ ทำยอดผู้ติดเชื้อดีดกลับขึ้นมาใหม่

เชื้อโรคยังยั้วเยี้ย ผู้ติดเชื้อรายวันยังเกาะกลุ่มหลักหมื่น คนตายไม่เฉียดร้อย
ก็ทะลุหลักร้อยต่อวัน

ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กำลังเร่งเครื่องเปิดประเทศ ต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัว นำร่องใน 10 ประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้

มองการณ์ไกลถึงขั้นทุ่มงบฯ 200 ล้านบาท ดึง “ลิซ่า แบล็กพิงก์” ศิลปินดังระดับโลก สายเลือดคนไทย มาร่วมงานเคาต์ดาวน์ปีใหม่ที่ จ.ภูเก็ต

ตีปี๊บโปรโมตประเทศเอิกเกริก ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศช่วงไฮซีซัน ควานหารายได้เข้าประเทศมือเป็นระวิง ในยามที่สถานะการเงินประเทศหมิ่นเหม่ภาวะถังแตก ต้องขยายเพดานกู้หนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ให้มีเงินมาหมุนในห้วงไม่มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยวหล่อเลี้ยง

...

ควบคู่ไปกับผ่อนคลายหลายมาตรการให้สอดรับการเปิดประเทศและให้คนไทยหายใจทั่วท้องขึ้น อาทิ ลดเวลาเคอร์ฟิวจาก 22.00-04.00 น. เป็น 23.00-03.00 น. การลดพื้นที่ควบคุมสูงสุดหรือสีแดงเข้มเหลือ 23 จังหวัด จาก 29 จังหวัด

ภายใต้ความหวาดผวาของหลายฝ่าย ประเทศไทยมีความพร้อมรับการเปิดประเทศหรือยัง เพราะภูมิคุ้มกันหมู่คนไทยยังห่างไกลเป้าหมาย หลายพื้นที่ยังได้วัคซีนโควิดไม่ครบโดส จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญก็ยังเป็นศูนย์กลางการติดเชื้อ

เปิดประเทศแล้วต้องลุ้นหืดจับ นักท่องเที่ยวจะกล้ามาหรือไม่ หากไม่วางแผนควบคุมให้ดี ก็ไม่รู้เจ้าบ้านหรือผู้มาเยือน ใครจะแพร่เชื้อให้ใคร

แต่เสี่ยงแค่ไหนก็ต้องเดินหน้าต่อสู้กับสงครามเชื้อโรค แลกกับเม็ดเงินที่จะไหลเข้าประเทศ

เปิดก็เสี่ยงติดโรค ไม่เปิดก็เสี่ยงอดตาย “ลุงตู่” หลังพิงฝา ถอยหลังไม่ได้ ต้องเรียก ครม.ยืนเรียงแถว สร้างความมั่นใจแถลงเปิดประเทศ

แก้เกมเศรษฐกิจไทยที่มีแต่ทรงกับทรุด พอๆกับเสถียรภาพรัฐบาลที่แกว่งไปมา เผชิญศึกนอกที่ม็อบยกระดับรุกไล่ ขณะที่ศึกในคนในพรรคพลังประชารัฐคอยก่อหวอด ให้เกิดความขัดแย้งอยู่เนืองๆ แม้จะพยายามประสานรอยร้าวกันหลายรอบ แต่ยังสมานไม่สนิทดี

คลื่นลมในพรรคยังแปรปรวน คนในทีมยังจูนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันยาก ลูกพรรคคอยเสี้ยมให้ “บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระแวงกันไม่หยุด

สัมพันธภาพ “พี่ใหญ่–น้องเล็ก” ต้องดูกันระยะยาวจะกลับมาเชื่อใจกันสนิทได้เหมือนเดิมแค่ไหน

ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องลงเรือลำเดียวกัน ฝ่าคลื่นความขัดแย้งต่อไปอีกพักใหญ่ เพราะหากแตกคอถึงขั้นยุบสภาในเร็ววัน โอกาสชนะเลือกตั้งกลับมาครองความยิ่งใหญ่แทบเป็นไปไม่ได้

ยังไงพี่น้องก็ต้องลากยาวอยู่ต่อให้นานที่สุด เพื่อเร่งสร้างผลงานครึ่งเทอมที่เหลือ กอบกู้เรตติ้งกลับมาก่อนที่จะไปวัดดวงในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไป

ตามไทม์ไลน์ที่มีข้ออ้างให้อยู่ยาว ทั้งการเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปกในเดือน พ.ย.2565 ที่จะเริ่มประชุมฟลอร์ย่อยต่างๆในปลายปีนี้ หรือการแก้ไขกฎหมายลูก ร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.ที่ต้องใช้เวลา 6 เดือน อย่างที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี คำนวณไว้

ยังมีปัจจัยเอื้อให้อ้างอยู่เคลียร์งานใหญ่ ได้โอกาสใช้เวลาที่เหลืออยู่ ปล่อยของพิสูจน์ศักยภาพกู้แต้มได้อีกเฮือกใหญ่ และพลิกแพลงกติกาเลือกตั้งกลับมาสร้างความได้เปรียบให้ตัวเอง

แต่ด่านอันตรายเฉพาะหน้าที่ยังไม่รู้จะพาเรือเหล็กพลิกคว่ำหรือพลิกหงาย คือ เรื่องการเปิดประเทศเดือน พ.ย. เกมเสี่ยงไปตายดาบหน้าที่ยังไม่รู้จะไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่

แต่เป็นเดิมพันที่จะชี้วัดความอยู่รอดของรัฐบาล และ “บิ๊กตู่” จะยืนระยะอยู่ยาวได้สำเร็จหรือไม่ ดังนั้นจะเล่นลักปิด ลักเปิด ถ้าเปิดประเทศแล้ว สถานการณ์ไม่ปลอดภัยจะกลับมาปิดประเทศใหม่คงไม่ได้

เป็นเกมวัดดวงที่ยังไม่รู้จะคุ้มค่าความเสี่ยงหรือไม่ เพราะถ้าสามารถประคองผ่านไปได้ พิมพ์เขียวไปต่อ 5 ปีของ “บิ๊กตู่” ก็มีโอกาสสมหวัง

ในทางตรงข้าม ถ้าเสี่ยงแล้วล่ม โอกาสกลับมาแก้ตัวใหม่คงลำบาก!!!

ทีมข่าวการเมือง