หลังจากที่ปล่อยให้วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนานา ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ประกาศ “เปิดประเทศไทย” ตามสัญญา แต่เลื่อนเวลาออกไป จากประมาณกลางเดือนตุลาคม เป็นวันที่ 1 พฤศจิกายน ให้นักท่องเที่ยวเข้ามา โดยไม่ต้องกักตัว สำหรับผู้ฉีดวัคซีนครบโดส เริ่มจากประเทศที่เสี่ยงตํ่า

อันได้แก่ อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน สหรัฐอเมริกา เป็นต้น จากนั้นจะขยายไปยังประเทศอื่นๆในวันที่ 1 ธันวาคม และ 1 มกราคม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเปิดประเทศครั้งนี้เป็นก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวสำคัญ ที่จะทำให้ประชาชนกลับมาทำมาหากิน เลี้ยงตัวเองได้อีกครั้ง ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

นับเป็นการเสี่ยงครั้งใหญ่ของรัฐบาล แม้การแพร่ระบาดของโควิดจะเบาบางลง แต่ก็ยังอยู่ในอันดับต้นๆของโลก คืออันดับที่ 26 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อใหม่ 10,035 คน เสียชีวิต 60 คน เสียชีวิตสะสม 17,751 คน ผู้ป่วยสะสม 1,720,919 คน ฉีดวัคซีนเข็มหนึ่ง 35 ล้านคน เข็มสอง 23.4 ล้านคน

ถือว่าคนไทยยังได้รับการฉีดวัคซีนที่ค่อนข้างตํ่าเมื่อเปรียบเทียบกับประกาศที่ฉีดได้เร็ว เช่น อังกฤษฉีดได้ 68% จึงประกาศ “วันเสรีภาพ” เปิดประเทศ ส่วนของไทยในระยะหลังๆ รัฐบาลเร่งฉีดได้เร็วมาก แต่ก็ยังน้อยอยู่ ศูนย์การบริหารโควิด–19 ประกาศว่าจะฉีดให้ได้ 50% ภายในเดือนตุลาคม

แม้แต่จะฉีดได้ถึง 50% ของประชากร ก็อาจยังน้อยไป ไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ มีบทเรียนจากนักท่องเที่ยวอิสราเอล เดินทางไปเที่ยวไอซ์แลนด์ 29 คน ไปติดเชื้อในไอซ์แลนด์ถึง 21 คน ทั้งๆที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์คนละ 2 เข็ม แต่รัฐบาลไทยคงจะมั่นใจ เพราะเตรียมมาตรการเข้มงวด

เหตุผลที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่ต้องเปิดประเทศ เนื่องจากการล็อกดาวน์ ทำให้เศรษฐกิจประเทศเสียหาย เดือนละหลายแสนล้านบาท กระทบต่อการทำมาหากิน เดือดร้อนกันโดยถ้วนหน้า และเหตุที่เปิดรับการท่องเที่ยว ก็เพราะว่าเป็นที่มาของรายได้ประเทศไทยถึง 17.8% คิดเป็นเงิน 3 ล้านล้านบาทต่อปี

...

เป็นรายได้เกือบเท่างบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาล และน่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพที่สุด ได้ผลเร็วที่สุด รัฐบาลจึงต้องยอมเสี่ยงจึงขอเอาใจช่วยให้ประสบความสำเร็จ ปลอดภัยจากโควิด และหวังด้วยว่าจะมีการกระจายรายได้สู่ประชาชนทุกกลุ่มโดยทั่วหน้า ต้องไม่จนกระจุก รวยกระจาย.