“ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความอยุติธรรม” ดูจะเป็นหัวใจสำคัญในการบรรยายพิเศษของ นางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา ในเวทีสัมมนาสาธารณะ โดยหลักสูตร นยปส.รุ่นที่ 12 ของ สำนักงาน ป.ป.ช.
เรื่อง “บทบาทของกระบวนการยุติธรรมกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตของประเทศไทย” ผมขอคัดบางบทบางตอนที่เห็นว่าเป็นใจความสำคัญมาสรุปและนำเสนอแล้วกัน
ประธานศาลฎีกาเชื่อว่าแนวทางการป้องกัน ปราบปราม ส่งดำเนินคดี และศาลพิพากษา ในคดีทุจริตมาถูกทางแล้ว ไม่ผิดที่คนจะกระทำผิดมากขึ้นในสภาพสังคมปัจจุบันที่ต้องต่อสู้กับการปากกัดตีนถีบ เพราะทุกคนอยากจะอยู่ระดับที่สูงกว่า และมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น
ที่น่าสนใจคือท่านบอกว่าเคยพูดคุยกับผู้ต้องขังหลายรายที่กระทำผิด ทั้งที่รู้ว่าผิดก็ยังกระทำ เพราะขณะที่เขาทำไม่คิดว่าจะโดนจับ
พูดง่ายๆ เขาคิดว่าคุ้มค่าที่จะเสี่ยง
คิดว่ามีโอกาสรอดเหมือนหลายๆคน หลายๆกลุ่มที่ยังรอดมาลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้
ท่านบอกว่ากระบวนการยุติธรรมต้องกลับมามองตัวเอง สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมมีปัญหา
เน้นย้ำว่าหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ พนักงานสอบสวน, ป.ป.ช., ป.ป.ท., อัยการ, ศาล รวมถึง กรมราชทัณฑ์ ต้องปรับบทบาท โดยเน้นให้เห็นความสำคัญ 5 ประการ ได้แก่
ความถูกต้อง, เป็นธรรม, แม่นยำ, รวดเร็ว และ โปร่งใสตรวจสอบได้
โดยเฉพาะความรวดเร็วถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และคนที่จะมาทำหน้าที่ตรงนี้ต้องไม่ทุจริตเสียเอง
จะไปตรวจสอบคนอื่นตัวเราเองต้องสุจริตเสียก่อน และต้องทำให้เห็นว่าเราสุจริตจริง
ไม่รู้ยังไง เห็นบทบรรยายพิเศษของท่านประธานศาลฎีกาแล้ว ทำให้ผมพานนึกไปถึงคำพิพากษาของ ศาลปกครองกลางล่าสุด ในคดีที่ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวออนไลน์ The MATTER ยื่นฟ้อง ป.ป.ช. กรณีไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร คดีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯในสมัย รัฐบาล คสช.
...
ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ ป.ป.ช.ต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร 2 รายการ คือ
1.รายงานสรุปผลการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน รวมถึงเอกสารอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
2.คำชี้แจงของ พล.อ.ประวิตร ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. รวม 4 ครั้ง
เพื่อให้เห็นถึงความโปร่งใสและตรวจสอบได้ และเพื่อความน่าเชื่อถือและศรัทธาของ ป.ป.ช.เอง
คำพิพากษาคล้อยหลังไม่ทันข้ามวัน ก็มี รองเลขาฯ ป.ป.ช. ออกมาให้สัมภาษณ์ลักษณะยักท่า ต้องขอดูรายละเอียดในคำพิพากษาอย่างเป็นทางการก่อน ว่าจะเปิดเผยได้หรือไม่ หรือเปิดได้แค่ไหน
ถ้าเป็นข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวกับสำนวนในคดีโดยตรง คงเปิดไม่ได้ อ้างดื้อๆ เกรงจะกระทบพยานในคดี
ป.ป.ช.เองก็คงรู้ว่าฝืนกระแสสังคมกับประเด็นร้อนนี้ยาก เลยงัดคดีค้างเก่ามาเล่าใหม่
เรื่องการจัดซื้อเครื่องบินแบบ A340-500 จำนวน 4 ลำ และ A340-600 จำนวน 6 ลำ รวม 10 ลำ วงเงินกว่า 5.3 หมื่นล้านของการบินไทยฯ ใช้บินเส้นทางบินสหรัฐฯ
สมัย นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ และ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็น รมว.คมนาคม กับพวกรวม 5 คน ส่วนใหญ่ เป็นบอร์ดการบินไทยสมัยนั้น แต่ประสบภาวะขาดทุนบักโกรก
ก็เล่นแร่แปรธาตุคดีทุจริตกันซะเพลิน...แบบนี้.
“เพลิงสุริยะ”