สีสันสะดุดใจของการอภิปรายในสภา อยู่ที่ ส.ส.กล้าประกาศ มีการแจกเงินให้ ส.ส.คนละห้าล้าน และนายกฯก็กล้าปฏิเสธว่าไม่นิยมการแจกถุงขนม กระทบไปถึงการเมืองสมัยคนแดนไกลไปโน่น!

จิ้งจกฝาผนังห้องนายกฯ กระซิบเข้าหูผม ขนาดของห้องคุณประยุทธ์ในสภา...ไม่พอใส่เงินห้าร้อยล้าน สมมติมี ส.ส.ที่จะต้องให้เงินร้อยคน

แต่หากมีการแจกกันจริงๆ ก็น่าจะแจกกันแจกซักสามห้อง เป็นอย่างน้อย

ผมมีหนังสือ 36 กลยุทธ์ แห่งชัยชนะในการสัประยุทธ์ทุกปริมณฑล (บุญศักดิ์ แสงระวี สำนักพิมพ์แสงดาว พ.ศ.2564) ใกล้มือ ไล่เรียงดู กระบวนการแจกเงิน ส.ส.เพื่อซื้อใจให้ยกมือ...แบบไทยๆ พอจะเข้าเค้ากลยุทธ์...ข้อไหน

ข้อล่อเสือออกจากถ้ำ ตอนซุนเซ็ก (พี่ชายซุนกวน)ตั้งตัวเป็นใหญ่ เคยใช้ได้ผล...ส่งทูตและเครื่องบรรณาการ ไปที่เมืองเป้าหมาย แนะให้ช่วยไปยึดเมืองอีกเมืองถัดไป ที่เป็นหนามตำใจตัวเอง จะนับถือและรักใคร่จนวันตาย

พอเจ้าเมืองนั้นทำตาม เมืองก็ว่าง ซุนเซ็กก็ได้ทียกทัพยึดไว้สบายๆ

การเมืองในสภาก่อนยกมือไว้วางใจนายกฯ ชุลมุนวุ่นวาย ผมเดาทางใคร...ทางมันไม่ถูก

ได้ข่าวจากจิ้งจกสภา...ตัวเดียวตัวเดิมว่า ในช่วงเวลาที่ฝ่ายคุณประยุทธ์ยังตั้งหลักไม่ถูก มีโทรศัพท์สายตรงมาจากพี่ใหญ่เมืองบุรีรัมย์ มีคนได้ฟังพร้อมกันทั้งห้อง...ว่า น้องรักมุ้งตัวเองเอาแน่

ข่าวจากบุรีรัมย์ย้ำความเป็นข่าวร้าย แต่ก็ให้ข่าวดีมาด้วยกัน

พี่ไม่ควรมาระแวงระวัง น้องอนุทินให้เสียน้ำใจ เพราะน้องยังรักนับถือพี่เท่าเดิม ข่าวที่ออกมามั่วซั่วว่าหากล้มนายกฯประยุทธ์ได้ส้มจะหล่นใส่มืออนุทินนั้นเป็นข่าวลวง

ถ้าการเมืองเป็นเช่นนี้จริง ผมก็เริ่มเห็นเป็นเค้า เรื่องนี้เข้ากับกลยุทธ์ โยนกระเบื้องล่อหยกมากกว่า

ชื่อกลยุทธ์นี้ มีที่มา จากเรื่องราวของกวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ถังสองคน คนแรกฉางเจี้ยน คนต่อมาจ้าวกู่

...

เล่ากันว่าฉางเจี้ยนคนรักกวี ชื่นชอบ และเชิดชูบทกวีของจ้าวกู่ และติดตามผลงานของจ้าวกู่มาช้านาน

วันหนึ่งได้ข่าวจ้าวกู่ เดินทางมาเมืองซูโจว เขาคาดคะเน จ้าวกู่คงจะต้องไปเที่ยววัดหลิงเอี๋ยนสื้อ เขาจึงไปเขียนบทกวีไว้ 2 คำบนผนังกำแพงวัด

เมื่อจ้าวกู่มาเห็น ก็สะดุดใจ เขียนบทกวีต่ออีก 2 คำ

บทกวีสี่คำนั้น คนมากมายได้อ่านชื่นชมกันว่าเป็นบทกวีที่ครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยฉันทลักษณ์ และสวยงาม ความหมายไพเราะจับใจยิ่งนัก

แต่ในความงดงามสมบูรณ์นั้น ต่างก็วิจารณ์กันว่า บทกวีสองคำแรกของฉางเจี้ยน ด้อยค่ากว่าบทกวีสองคำหลังของจ้าวกู่อย่างเทียบกันไม่ได้

บทกวีสองคำของฉางเจี้ยน จึงถูกเปรียบเป็นแค่กระเบื้อง

แต่คนอ่านก็รู้ว่าบทกวีสองคำหลังของจ้าวกู่ ที่มีคุณค่า ประหนึ่งหยกล้ำค่าหาหยกอื่นเทียบไม่ได้ นั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีบทกวีที่เป็นเหมือนกระเบื้องของฉางเจี้ยนเขียนไว้ล่อ

สำนวนโยนกระเบื้องล่อหยก ถูกนำไปใช้เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมาย ใช้สิ่งที่คล้ายคลึงกันไปล่อข้าศึก ต้องอุบายพ่ายแพ้

ตำราพิชัยสงคราม เล่มร้อยยุทธการพิสดาร อธิบายว่าเมื่อประมือกับข้าศึก ขุนพลฝ่ายตรงข้ามโง่เง่ามิรู้พลิกแพลง เขาละโมบในประโยชน์มิรู้ผลร้าย ก็ซุ่มทหารลอบตีได้ ข้าศึกจักพ่าย นี่คือการล่อด้วยประโยชน์

ผมอ่านเรื่องราวกลยุทธ์โยนกระเบื้องล่อหยก แล้ว พอหลับตานึกภาพ หลังอภิปราย แม่ทัพเอ๊ย!นายกฯประยุทธ์ท่าน ก็คงนอนตาหลับ เพราะรู้แจ้งชัดหนนี้ ศัตรูที่ว่าน่ากลัว คือศัตรูภายใน คนใกล้ตัว

จะฆ่าตัดตอนตัดไฟเสียต้นลม หรือจะแตกหน่อต่อยอดเลี้ยงไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป ก็สุดแท้แต่ใจตัว.

กิเลน ประลองเชิง