ศาลเอาจริงออกแถลงการณ์ ชี้ม็อบ 2 พ.ค. ใช้ความรุนแรง ข่มขู่ผู้พิพากษายันครอบครัว กดดันให้เปลี่ยนแปลงคำตัดสิน ไม่ใช่สิทธิเสรีภาพไร้ความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ ขอตำรวจดำเนินการอย่างเคร่งครัด เตือนประชาชนแสดงออกอย่างสันติ บช.น.แจงรวบม็อบรีเด็มปะทะตำรวจ 4 ราย วืดประกันนอนคุก 3 รอด 1 เป็นเยาวชนชายวัย 16 ปี ขณะที่ “เบนจา-ไบรท์-ณัฐชนน” นำม็อบบุกศาล 29 เม.ย. ถูกเรียก ไต่สวนอ่วมฐานละเมิดศาล “ภราดร” ดึงสติ บังคับใช้กฎหมายแบบ “ยุติธรรมมี สามัคคีเกิด” “สิระ” หิวแสงยุส่งปลด ผบช.น.ไม่ดูแลศาล

หลังแนวร่วมกลุ่มราษฎรเคลื่อนไหวกดดันให้ศาลอาญาอนุญาตให้ประกันปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำที่ถูกคุมขังมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งกลุ่มรีเด็มพากันรวมตัวชุมนุมหน้าศาลอาญาจนเกิดเหตุการณ์ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นำกำลังเข้ากระชับพื้นที่บริเวณหน้าปากซอยรัชดา 32 เมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา ล่าสุดฝ่ายตำรวจและสำนักงานศาลยุติธรรม เดินเครื่องดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วน.1 แถลงสรุปจับม็อบป่วน 4 ราย

...

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 3 พ.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. แถลงภาพรวมการชุมนุมของกลุ่มรีเด็ม เมื่อวันที่ 2 พ.ค. โดยไล่เรียงเหตุการณ์ตั้งแต่การนัดชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปจนถึงเคลื่อนขบวนถึงศาลอาญา รัชดา ที่มีการก่อความวุ่นวาย ขว้างปาสิ่งของ และกล่าวโจมตีผู้พิพากษาและกระบวนการยุติธรรม จนกระทั่งเกิดการปะทะช่วงค่ำวันเดียวกันว่า ตำรวจเห็นว่าสถานการณ์เริ่มรุนแรงมากขึ้นจึงใช้กำลังผลักดันตามยุทธวิธี และใช้อุปกรณ์เหมาะสมตามลำดับขั้น จับกุมผู้ร่วมชุมนุมได้ 4 คน พร้อมแจ้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ร.บ.ควบคุมโรคฯ ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ และชุมนุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป หากพบผู้ใดกระทำผิดอีกจะติดตามมาดำเนินคดีเพิ่มเติม ส่วนความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ และละเมิดอำนาจศาล ทางสำนักงานศาลยุติธรรม อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานเข้าแจ้งความ นอกจากนี้ จากการตรวจสอบประวัติพบว่าผู้ชุมนุมหลายรายเข้าร่วมชุมนุมหลายครั้ง รวมทั้งอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดี และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งตำรวจจะรายงานศาลให้ทราบขั้นตอนต่อไป

ตำรวจโดนพลุยิงบาดเจ็บ 3 นาย

ผบช.น. กล่าวอีกว่า จากการชุมนุมพบมีการนำพลุมาใช้เป็นอาวุธยิงใส่ตำรวจในแนวราบ เพิ่มเติมจากการชุมนุมครั้งที่ผ่านๆมา ส่งผลให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 3 นาย จึงจะมีการประเมินอีกครั้ง หากกลุ่มรีเด็มนัดหมายชุมนุมในอนาคต ตำรวจอาจปรับยุทธวิธีไม่ให้ผู้ชุมนุมรวมตัวกันได้ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงขึ้น พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การชุมนุมไม่มีแกนนำจริงหรือไม่ โดยขอให้สื่อมวลชน พิจารณาจากเหตุที่เกิดขึ้นเอง

ทนายขึ้น สน.ขอประกันทันควัน

ที่ สน.พหลโยธิน น.ส.คุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พร้อมญาติผู้ต้องหาเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อขอประกันตัวนายคุณภัธร คะชะนา ผู้ต้องหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มั่วสุมชุมนุม หรือทำกิจกรรม และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ นายร่อซีกีน นิยมเดชา น.ส.หทัยรัตน์ แก้วสีคราม และเยาวชนชายอายุ 16 ปี ในข้อหาร่วมกันต่อสู้ขัดขวาง ร่วมกันทำร้ายร่างกายฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ จากกรณีการชุมนุมก่อความวุ่นวายหน้าศาลอาญา เมื่อช่วงเย็นวันที่ 2 พ.ค. เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจคัดค้านการประกันตัว โดยนำตัวผู้ต้องหา 3 คน ฝากขังผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ส่วนเยาวชนอายุ 16 ปี นำไปฝากขังที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง

เยาวชนรอดนอนคุกแค่คนเดียว

ต่อมาศาลได้พิจารณาคำร้องขอฝากขังของ สน.พหลโยธิน แล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังเป็นเวลา 12 วัน ผู้ต้องหาทั้งหมดได้ยื่นขอประกันตัวโดยวางหลักทรัพย์คนละ 35,000 บาท ศาลเห็นว่าพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดี และข้อคัดค้านของพนักงานสอบสวนแล้ว เกรงว่าจะหลบหนีไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวยกคำร้อง ส่วนเยาวชนชาย 1 คน อายุ 16 ปี ศาลได้พิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ควบคุมได้ ต่อมาผู้ต้องหาได้ยื่นขอประกันตัวไปในวงเงิน 10,000 บาท ศาลมีคำสั่งอนุญาต

ศาลแถลงการณ์ถูกข่มขู่คุกคาม

ขณะเดียวกันในช่วงเช้า มีรายงานจากสำนักงานศาลยุติธรรมว่า สนง.ศาลยุติธรรมแถลงการณ์ขอให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบหาหลักฐานดำเนินคดี กลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ใช้ความรุนแรงข่มขู่ผู้พิพากษา ครอบครัวและบุคลากรศาล เพื่อให้เปลี่ยนแปลงคำพิพากษา สนง.ศาลยุติธรรม มีแถลงการณ์ขอแจ้งให้ ทราบว่า ในการดำเนินกระบวนการพิจารณาพิพากษา และมีคำสั่งในคดีทั้งปวง ศาลยุติธรรมให้ความสำคัญกับ สิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเสมอมา และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ ความคิดเห็นทางวิชาการที่มุ่งก่อให้เกิด ความสร้างสรรค์ และพัฒนาการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย

ใช้ความรุนแรงกดดันไม่ชอบธรรม

รายงานระบุต่อว่า พฤติกรรมที่เกิดขึ้นบริเวณศาลอาญาเมื่อคืนวันที่ 2 พ.ค. ที่บุคคลจำนวนหนึ่ง ใช้ความรุนแรงด้วยการขว้างปาสิ่งของ ใช้เครื่องมือยิงวัสดุเข้ามาในอาคารศาล การใช้วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง จนเกิดความเสียหาย ความรุนแรงและไม่สงบขึ้นนั้น นอกจากจะเป็นการทำลายทรัพย์สินของทางราชการแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดูแลรักษาความปลอดภัยในบริเวณศาลอาญา ถือไม่ได้ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นในระบอบประชาธิปไตย และอันเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยชอบธรรมภายในกรอบของกฎหมาย อีกทั้ง ยังมีลักษณะของการก้าวล่วงใช้ความรุนแรงเพื่อแทรกแซง โดยหวังผลให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษา ไปในทางหนึ่ง ทางใดตามที่กลุ่มผู้ใช้ความรุนแรงมุ่งประสงค์ โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์ของกฎหมาย อันเป็นการมุ่งทำลายความอิสระของตุลาการตามรัฐธรรมนูญ

ซัดขู่เข็ญคุกคามยันครอบครัว

รายงานระบุว่า นอกจากการใช้ความรุนแรงดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันยังมีพฤติกรรมทำนองขู่เข็ญและ สร้างความหวาดกลัวไม่เพียงแก่บุคลากรในศาลยุติธรรม เท่านั้น หากแต่ยังมีการขู่เข็ญ และสร้างความหวาดกลัว ไปยังบุคคลในครอบครัวของผู้พิพากษาและบุคลากรในศาลยุติธรรมด้วย ทั้งๆที่บุคคลดังกล่าวไม่ได้มีส่วน เกี่ยวข้องกับการพิจารณาพิพากษาคดีแต่อย่างใด พฤติกรรมดังกล่าวที่มีการกระทำในลักษณะเป็นขบวนการ ใช้สื่อโซเชียลต่างๆ ล้วนมุ่งหวังให้เกิดผลในทำนองเดียว กับการใช้ความรุนแรงข้างต้นที่ต้องการให้ศาลพิจารณา พิพากษาคดีหรือมีคำสั่งในทางที่ตนเอง หรือขบวนการของตนต้องการ โดยไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็น หรือการใช้เสรีภาพตาม รัฐธรรมนูญอันชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย

ให้ ตร.ดำเนินการตามกฎหมาย

รายงานระบุด้วยว่า ในการนี้ สนง.ศาลยุติธรรม ขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้ตรวจสอบการกระทำและพยานหลักฐานที่ปรากฏ หากมีการกระทำใดที่เป็นการละเมิดหรือฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้ พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอน และกระบวนการของกฎหมายอย่างเคร่งครัด ขอให้ พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วนแสดงความคิดเห็นและใช้เสรีภาพของตนอย่างสันติด้วยความสงบ และงดเว้น การกระทำใดๆที่อาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต เป็นภยันตราย แก่ร่างกาย หรือสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สิน ไม่ว่า ของส่วนบุคคลหรือของทางราชการ และให้การดำเนิน กระบวนการพิจารณาต่างๆ ดำเนินไปตามครรลองของกฎหมายที่มีการตรวจสอบและถ่วงดุลตามที่กฎหมายกำหนดในการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง ศาลยุติธรรม ทุกศาลจะยังคงทำหน้าที่ด้วยความเป็น กลางปราศจากอคติพิพากษา และมีคำสั่งให้คู่ความทุกฝ่ายได้รับความ ยุติธรรมภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างเสมอภาค และเท่าเทียมกันต่อไป

เรียกไต่สวน 3 แกนนำละเมิดศาล

ที่ศาลอาญา ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา ยื่นคำร้องคดีละเมิดอำนาจศาลที่กล่าวหา น.ส.เบนจา อะปัญ และนายชินวัตร หรือ ไบร์ท จันทร์กระจ่าง และนายณัฐชนน ไพโรจน์ ฐานละเมิดอำนาจศาลรวม 3 สำนวน กรณีรวมตัวชุมนุมกับกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ทำกิจกรรมยื่นจดหมาย “ราชอยุติธรรม” อ่านกลอน “ตุลาการภิวัติ” เมื่อวันที่ 29 เม.ย.64 บริเวณบันไดทางขึ้นด้านหน้า (บริเวณหน้ามุกศาลอาญา) ถนนรัชดาภิเษก ให้เรียกมาไต่สวนฐานละเมิดอำนาจศาลและลงโทษตามกฎหมายต่อไป โดยศาลนัดไต่สวน น.ส.เบนจา ฐานละเมิดอำนาจศาลในวันที่ 27 พ.ค.เวลา 13.30 น. ส่วนนายชินวัตร และนายณัฐชนน ศาลนัดไต่สวนวันที่ 19 พ.ค. เวลา 13.30 น.

“จัสติน” แห้วศาลไม่ให้ประกัน

บ่ายวันเดียวกัน ที่ศาลอาญา นายชูเกียรติ แสงวงค์ หรือจัสติน ผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตาม ป.อาญา ม.112 กรณีร่วมชุมนุมกับกลุ่มรีเด็มที่สนามหลวง แปะป้ายที่ทิ้งสิ่งปฏิกูลบนพระบรมฉายาลักษณ์ เมื่อวันที่ 22 มี.ค.64 ที่ไม่ได้รับการประกันตัว ถูกคุมขังในชั้นฝากขังนั้น ผู้ขอประกันได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เงินสด 2 แสนบาท ต่อศาล ขอประกันตัวนายชูเกียรติ ศาลพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ขณะผู้ขอประกันยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหารายนี้ ผู้ต้องหาป่วยด้วยโรคติดเชื้อโควิด-19 การขอไต่สวนตามคำร้องขอผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ของผู้ขอประกันในขณะนี้ ย่อมอาจมีผลกระทบต่อบุคคลผู้เกี่ยวข้องและไม่ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงมากนักเท่าที่ควร ที่จะนำมาพิจารณาสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในชั้นนี้ ให้ยกคำร้องไปก่อน

“จอห์น วิญญู” เจออ่วมหมิ่น “ลุงตู่”

ด้านนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ เปิดเผยว่า วันนี้นายวิญญู วงศ์สุรวัฒน์ หรือจอห์น วิญญู พิธีกรรายการ ได้แจ้งให้มาเลื่อนการรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ หรือเพราะกระทำตามหน้าที่ต่อพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง หลังนายอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มาแจ้งความไว้ก่อนหน้านี้ จากการทวีต ข้อความต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม รวมถึงรัฐบาลด้วยถ้อยคำไม่สุภาพหลายหน ทั้งนี้เนื่องจากได้รับหมายกะทันหัน และมีภารกิจในวันนี้ไม่สะดวกที่จะเดินทางมา พนักงานสอบสวนได้เปลี่ยนข้อหาเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และนัดหมายอีกครั้งในเวลา 10.00 น. วันที่ 28 พ.ค.

“ภราดร” จวกผู้นำกลับกลอก

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีศาลอาญายังไม่อนุญาตให้ประกันตัวปล่อยตัวชั่วคราว แกนนำกลุ่มราษฎรที่ถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีว่า เรื่องนี้ปฏิกิริยาสังคมตั้งแง่กันถึงการใช้ดุลพินิจของคนในขบวนการยุติธรรมเป็นธรรมหรือไม่ และกำลังส่งผลกระทบเชิงลบอย่างรุนแรง เห็นได้จากการยืนประท้วงหน้าศาลเป็นสัญญาณเริ่มต้นสู่ความวิบัติต่อภาพลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรม ต่างชาติจะลดทอนเครดิตความน่าเชื่อถือตามมา ลามไปยังภาคเศรษฐกิจ แต่เหตุการณ์นี้มันจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้ามิใช่เพราะการกลับกลอกของผู้นำสืบทอดอำนาจ ที่นำกฎหมายมาใช้กลับไปกลับมา เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงต้องพิจารณาเลือกบทบัญญัติว่า จะใช้ข้อใดของกฎหมายมาบังคับใช้แล้วทำให้บ้านเมืองเกิดความสามัคคีปรองดอง ตามปรัชญาที่ว่า “ยุติธรรมมี สามัคคีเกิด” ขอให้ใช้สติปัญญาอย่างรอบคอบ อย่าไปพลาดท่าเป็นสารตั้งต้นสร้างความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองซ้ำซากอีกเลย

“สิระ” ยุปลด ผบช.น.ไม่ดูแลศาล

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชา-รัฐ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการชุมนุมกลุ่ม REDEM ที่ศาลอาญา เมื่อวันที่ 2 พ.ค. เรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำกลุ่มราษฎรที่ถูกคุมขังว่า การรวมตัวมีเป้าหมายกดดันแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของนายชนาธิป เหมือนพะวงศ์ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ที่ไม่ให้ประกันตัวแกนนำม็อบ ละเมิดอำนาจฝ่ายตุลาการชัดเจน สัปดาห์ที่ผ่านมาก็บุกเข้าไปภายในบริเวณศาลอาญา ผู้ชุมนุมมีพฤติกรรมก้าวร้าวดูหมิ่น ข่มขู่ศาล และผู้พิพากษา ไม่เคารพกฎหมาย เจ้าหน้าที่ต้องรักษาความปลอดภัยให้ศาลมากกว่านี้ ตำรวจปล่อยให้ศาลเผชิญความไม่ปลอดภัย จะมีตำรวจไว้ทำไม ผบ.ตร.ต้องดูแลการทำหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ถ้าไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ ถึงเวลาที่ต้องหาผู้เหมาะสมกว่ามาทำหน้าที่แทน

บี้ “สมยศ” ผิดซ้ำถอนประกัน

นายสิระกล่าวด้วยว่า นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน รวมถึงมารดา อย่าเอาการอดข้าวมากดดันการขอประกันตัว ส่วนที่นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ปรากฏตัวในการชุมนุมเมื่อวันที่ 2 พ.ค.นั้น นายสมยศบอกหากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจะไม่เข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมอีก จึงมีคำถามว่านายสมยศทำผิดเงื่อนไขประกันตัวหรือไม่ การทำผิดซ้ำซาก ไร้จิตสำนึก สมควรถอนประกันแล้วยัดเข้าคุก ให้ลอยนวลอยู่กับคนปกติไม่ได้ จะก่อความวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น

ปชป.ประณามมุ่งทำลาย

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอประณามการชุมนุมหน้าศาลอาญาเมื่อวันที่ 2 พ.ค. มีขว้างปาสิ่งของเข้าไปในบริเวณศาล ป้ายหน้าศาลเสียหาย ปาสิ่งของทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ ไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย ด่าทอโจมตีศาลด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เลวร้ายที่สุดคือนำชื่อและครอบครัวของผู้พิพากษามาข่มขู่คุกคาม เจ้าหน้าที่ควรดำเนินดำเนินคดีให้เด็ดขาดจนถึงที่สุด ฐานละเมิดอำนาจดูหมิ่นศาล บุกรุกสถานที่ราชการทำให้เสียทรัพย์ รวมถึงฝ่าฝืนกฎหมายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ควบคุมโรค พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มุ่งทำลายสถาบันตุลาการเป็นเรื่องที่ไม่ควรปล่อยไว้เป็นเยี่ยงอย่าง ไม่เช่นนั้นสถาบันตุลาการจะเกิดความเสียหาย อย่าให้ความคิดที่มุ่งทำลายสถาบันตุลาการถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น

“แรมโบ้” ฟาดกลุ่มรีเด็มป่าเถื่อน

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอประณามการกระทำของ กลุ่มรีเด็ม (REDEM) ชุมนุมหน้าศาลอาญา แท้จริงแล้วต้องการเรียกร้องหรือเพียงอยากเคลื่อนไหวเพื่อที่จะก้าวล่วง จาบจ้วงสถาบัน ยั่วยุเพื่อสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น เหมือนมีวางแผนมาล่วงหน้า ภาพที่เจ้าหน้าที่ได้นำมาเผยแพร่ให้เห็นกัน ถือเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน ขอประณาม

ครม.โกลาหลย้ายตึกหนีโควิด

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า จากกรณีที่มีแม่บ้านในทำเนียบรัฐบาลตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 และบางรายปฏิบัติหน้าที่ที่ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งใช้เป็นสถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ล่าสุด สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้ตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่ประชุม ครม.ในวันที่ 5 พ.ค.จากเดิมที่ห้องประชุม 501 ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 ไปเป็นตึกภักดีบดินทร์ แทน โดยเจ้าหน้าที่ สลค.ได้เข้าพ่นฆ่าเชื้อทั้งที่ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 และตึกภักดีบดินทร์ ไว้เป็นที่เรียบร้อย

“สามารถ” ยื่นลาออกเกลี้ยงทุกที่

อีกเรื่องที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า นายสามารถ เจนชัยจิตรวานิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม และ ผอ.ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ ที่กรรมการสอบสวนของพรรคพลังประชารัฐ สอบสวนกรณีส่งลูกน้องเข้าไปเรียน-สอบหลักสูตรภาษาอังกฤษระดับปริญญาเอกแทนตนเอง พบกระทำผิดจริงมีมติให้ยกเลิกการดำรงตำแหน่งต่างๆได้ยื่นใบลาออกจากทุกตำแหน่งที่กระทรวงยุติธรรมได้ตั้งไว้หมดแล้ว โดยในช่วงแรกตนอาจจะให้คณะทำงานที่มีอยู่ เช่น เลขานุการ หรือที่ปรึกษาทำงานในส่วนของนายสามารถรับผิดชอบไปพลางก่อน