มาตรการรับมือโควิดระบาดรอบ 3 ของ “รัฐบาล 3 ป.” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ ล้วนเป็นมาตรการเก่าเอามาทำใหม่ คนมีเส้นทำผิดก็แบะๆเป็นแพะทั้งรัฐบาล มาตรการที่ออกมานี้คนทำงานและค้าขาย คงรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่านายกฯ ที่ทำหน้าเจ็บปวดทางทีวี เป็นการ “แก้ที่ปลายเหตุ” ทั้งหมด คนที่เดือดร้อนก็คือคนหาเช้ากินค่ำและธุรกิจเอสเอ็มอีหน้าเดิมๆ นายกฯพูดถึง “วัคซีน” ที่เป็น “หัวใจสำคัญ” ในการ ยุติการระบาดของโควิด–19 เพียงนิดเดียว แถมยังพูดชื่อวัคซีนผิดๆถูกๆ ไม่มีอะไรคืบหน้าสะท้อนถึง “ความไร้ประสิทธิภาพ” ของรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจกันมา
พล.อ.ประยุทธ์ พูดถึงการจัดหาวัคซีนเพิ่มจาก 63 ล้านโดส โดยพูดถึงชื่อวัคซีนยี่ห้ออื่นผิดๆถูกๆตะกุกตะกัก เช่น วัคซีนสปุตนิคไฟว์ วัคซีนไฟเซอร์ และอีกหลายบริษัท แต่ยังซื้อไม่ได้
เมื่อวันที่ 15 เมษายน นางเออร์ซูลา วอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป แถลงข่าวหลังจากที่ยุโรปมีมติเลิกใช้ “วัคซีนแอสตราเซเนกา” เพราะมีผลข้างเคียงทำให้เกิดลิ่มเลือด ในขณะที่ “วัคซีนแอสตราเซเนกา” เป็น “ความหวังเดียวของประเทศไทย” แต่จนถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่า คนไทยจะได้ฉีดวัคซีนเมื่อไหร่ รู้แต่ว่าจะได้วัคซีนลอตแรกในเดือนมิถุนายนอีกสองเดือนข้างหน้า ทั้งที่วัคซีนแอสตรา-เซเนกาเหลือบานเบอะในยุโรป เพราะเขาเลิกใช้ หันไปใช้ วัคซีนไฟเซอร์ แทน
ผมฟัง ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป แถลงแล้วก็ยิ่งเจ็บปวดยิ่งกว่านายกฯเสียอีก
นางเออร์ซูลา แถลงว่า สหภาพยุโรปได้บรรลุข้อตกลงสั่งซื้อวัคซีนโควิด-19 จาก บริษัทไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค เพิ่มอีก 50 ล้านโดส (แทนแอสตราเซเนกา) โดยจะส่งมอบในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ทำให้อียูได้รับวัคซีนจากไฟเซอร์เพิ่มเป็น 250 ล้านโดส จำนวนนี้ยังไม่ได้นับวัคซีนของโมเดอร์นา นางเออร์ซูลา ยังแถลงด้วย สหภาพยุโรปกำลังทำข้อตกลงฉบับที่ 3 เพื่อซื้อวัคซีนเพิ่มอีก 1,800 ล้านโดสในปี 2022 และ 2023 ด้วย
...
ทำไมประเทศอื่นเขาซื้อวัคซีนจำนวนมากได้ง่ายจัง อังกฤษก็ซื้อวัคซีนจนล้นประเทศ สหรัฐฯก็ซื้อวัคซีนจนล้นประเทศ ทำไมรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงหาซื้อวัคซีนไม่ได้เลย ได้แค่ ซิโนแวคจีน 2 ล้านโดส แอสตราเซเนกา 61 ล้านโดส เท่านั้น

ผมเขียนย้ำมาหลายเดือนแล้ว “วัคซีนมาเศรษฐกิจฟื้น วัคซีนไม่มาเศรษฐกิจไม่ฟื้น” วันนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง หลังจากที่ติดลบไป 3.5% ในปีที่แล้ว ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คาดว่า จีดีพีสหรัฐฯปีนี้จะกลับมาขยายตัวสูงถึง 6.5% สูงสุดในรอบ 37 ปี จากความสำเร็จในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ชาวอเมริกันได้เร็วกว่าเป้าหมาย ดัชนีหุ้นดาวโจนส์วันศุกร์ก็ปิดสถิติสูงสุดใหม่ 34,200.67 จุด ตัวเลข ณ วันที่ 15 เมษายน รัฐบาลสหรัฐฯฉีดวัคซีน “ฟรี” ให้ชาวอเมริกันไปแล้วกว่าครึ่งประเทศเกือบ 200 ล้านคน ฉีดเข็มแรก 125.8 ล้านคน ฉีดครบ 2 เข็ม 70.8 ล้านคน
ณ วันที่ 15 เมษายน วันเดียวกัน ไทยฉีดวัคซีนไปแล้ว 586,032 คน เป็นบุคลากรทางการแพทย์ 296,164 คน เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป บุคคลที่มีโรคประจำตัว และประชาชนในพื้นที่เสี่ยงรวม 289,868 คน ตั้งแต่ 28 ก.พ.-15 เม.ย. เราเพิ่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปแค่สองแสนกว่าคน ที่น่าตกตะลึงก็คือ ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปได้ฉีดวัคซีนครบสองเข็มเพียง 13 คน?
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันว่า มาตรการที่สำคัญที่สุด ของวิกฤติครั้งนี้ก็คือ “ฉีดวัคซีน” มาตรการอย่างอื่นคือการ “ซื้อเวลา” ถ้ายังแก้ปัญหาโรคระบาดไม่ได้ ทุกอย่างก็จะวนลูปอยู่ใน “วงจรอุบาทว์” กับ การระบาดอีกรอบ การเยียวยาอีกรอบ ที่แบงก์ชาติเป็นห่วงที่สุดก็คือ “รายได้ประชาชนและการจ้างงาน” ไม่รู้นายกฯฟังรู้เรื่องไหม ขอให้ดู สหรัฐฯ อังกฤษ อิสราเอล เป็นตัวอย่าง.
“ลม เปลี่ยนทิศ”