เทศกาลมหาสงกรานต์ผ่านพ้นไปแบบกร่อยๆ เป็นอีกปีที่พี่น้องประชาชนต้องอดฉลอง ไม่ได้สนุกสนานกับงานรื่นเริงบันเทิงใจตามประเพณีปีใหม่ไทย เพราะวิกฤติไวรัสมรณะโควิด-19 ล้อมเมือง
ยกระดับความรุนแรง บุกทะลวงกลางกรุงเทพฯ ตีแตกเกือบทุกจังหวัดทั่วประเทศ
ทำลายแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ดับความหวังของรัฐบาลและภาคธุรกิจที่หวังให้การใช้จ่ายท่องเที่ยวในห้วงเทศกาลสงกรานต์ กระตุ้นน้ำหล่อเลี้ยง ประทังปากท้องชาวบ้าน
งานกร่อย บรรยากาศเงียบกริบโควิดระลอก 3 ทำเจ๊งยับ
ภาวะเศรษฐกิจ “ติดลบ” สวนทางกับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่พุ่งทะลุหลักพัน สัญญาณอันตรายต้องจัดตั้งโรงพยาบาลสนามทั้งในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่คนติดเชื้อไม่รู้ตัวยังกระจัดกระจายไม่รู้ทิศทาง
โดยแนวโน้มหลังสงกรานต์ แพทย์บางส่วนประเมินตัวเลขคนติดเชื้อไวรัสมรณะน่าจะยิ่งสูงขึ้น เพราะไม่มีการล็อกดาวน์ ปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายประชาชนข้ามจังหวัด
ง่ายต่อการแพร่ระบาดของเชื้อจากเมืองสู่ชนบท
โอกาสที่ยอดคนติดโควิดทะลักหลักหมื่นคนต่อวันไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ อย่างที่ทีมแพทย์ใหญ่ ศบค.แถลงชัดหากไม่ทำอะไรเลยตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจสูงถึงวันละ 2.8 หมื่นคน
ไต่ระดับขึ้นแท่น แข่งกับเบอร์ต้นๆของประเทศทั่วโลก
ประกอบกับอารมณ์คนกลัวอดตาย มากกว่ากลัวติดโควิด ยังไงชีวิตต้องเสี่ยง เพราะหมดความหวังกับมาตรการสกัดโควิดของรัฐบาลที่เอาไม่อยู่ ระลอกแรก ระลอก 2 ระลอก 3 ยังไม่มีหลักประกันระลอก 4

...
อาการท้าเป็นท้าตาย ไม่กลัวติดโรคระบาดเหมือนตอนแรกๆ
ตามอารมณ์ของรัฐบาลก็ไม่กล้าออกมาตรการหักดิบ ยั่วแรงต้านของประชาชนที่หมดความอดทน
แหยงโดนแรงต้าน ประจานภาพ “รัฐล้มเหลว”
ตามกระแสที่นักวิเคราะห์การเมืองทุกสำนักฟันธง วิกฤติศรัทธา ถึงจุดคนไทยส่วนใหญ่หมดความเชื่อมั่นในตัวผู้นำอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม
สอบตก ไปไม่เป็นในเชิงบริหารจัดการมหาวิกฤติโควิด
โดยเฉพาะภาพสะท้อนความผิดพลาด จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มอบหมายให้ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร อดีต รมว.สาธารณสุข รัฐบาล คสช.เป็นหัวหน้าคณะทำงาน
เพื่อหารือถึงแนวทางจัดหา “วัคซีนทางเลือก” ให้ได้ข้อสรุปภายใน 30 วัน
มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนวทางและมาตรการในการจัดหาวัคซีนโควิด สำหรับใช้ในสถานพยาบาลของรัฐ และวัคซีนทางเลือกเพื่อนำมาให้บริการในสถานพยาบาลเอกชน
ไฟเขียวให้เอกชนวิ่งหา “วัคซีนทางเลือก” กันหูตาเหลือก
แต่นายกฯไม่เลือกที่จะใส่ชื่อของ “หมอหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข แม่ทัพด่านหน้าในสงครามโควิดล้อมเมือง อยู่ในทีมที่ตั้งขึ้นมาตามภารกิจฉุกเฉินเร่งด่วน
รมว.สาธารณสุขโดนเขี่ยออกจากทีมจัดหา “วัคซีนทางเลือก”
ภาพมันฟ้องชัดว่า “บิ๊กตู่” เลือกหักดิบ เลิกเดินตามแผนเดิมที่ให้นายอนุทินเป็นหลักในการคุมทีมจัดหาวัคซีนที่จองได้แค่ยี่ห้อแอสตราเซเนกา บวกกับนายกฯต่อสายไปขอเจียด “ซิโนแวค” จากผู้นำจีนนาทีสุดท้าย
ไม่เผื่อความเสี่ยง ทำให้คนไทยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ได้ฉีดวัคซีนช้า
ในจังหวะสถานการณ์ที่สวนทางกับภาวะการแพร่ระบาดระลอกล่าสุดจากคลัสเตอร์สถานบันเทิงย่านทองหล่อที่ตัวเลขพุ่งพรวดทะลักหลักพัน มีโอกาสทะลุหลักหมื่น
รัฐบาลหูตาตื่น ประชาชนผวา ทุกอย่างเป็นไปตาม ที่ฝ่ายค้าน โดย เฉพาะทีมงานพรรคก้าวไกลได้แฉข้อมูลไล่เบี้ยนายอนุทิน ฉายภาพวิกฤติล่วงหน้าให้เห็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบที่ผ่านมา
เตือนแล้วไม่ฟัง สุดท้ายก็ต้องพึ่งเอกชนยื่นมือช่วยจัดหากระจายวัคซีน
“จนแต้ม” ด้วยคำสั่งนายกฯตั้งทีมวิ่งหาวัคซีนทางเลือก ผลจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาดของรัฐบาล ขาดการตัดสินใจที่ถูกต้อง ไม่ตรงกับสถานการณ์
แทรกด้วยปมทุจริต ฟาดหัวคิวหน้ากากอนามัย โกงถุงมือยาง หากินบนความเป็นความตายชาวบ้าน
ผลประโยชน์การเมืองระบบรัฐบาลผสมทำวิกฤติโควิดดำดิ่ง
และตามรูปการณ์ก็จะสั่นสะเทือนต่อเนื่องถึงความเชื่อมั่นในเชิงบริหาร “มหาวิกฤติเศรษฐกิจโควิด” ที่ติดหล่มลึกลงทุกขณะ ตามสัญญาณรัฐต้องไล่เบี้ยเก็บภาษี โปะคลัง “ถังแตก”
แจกเงินชาวบ้านเป็นอย่างเดียว แต่ไม่มีกึ๋นดึงรายได้เติมงบประมาณ
ถึงจุดที่ต้องยอมรับโดยเงื่อนไขสถานการณ์ “มหาวิกฤติเศรษฐกิจจากมหันตภัยไวรัสมรณะ” มันเป็นโจทย์โคตรยากตามฟอร์ม บริหารของ “ผู้นำทหารอาชีพ”
ท่ามกลาง “วิกฤตการณ์ประวัติศาสตร์” บีบหนักไปทั่วทั้งโลก
มันคือไฟต์บังคับที่ประชาชนคนไทยพอเข้าใจได้ และรวมพลังสู้ร่วมกับผู้นำอย่าง “บิ๊กตู่” มาตั้งแต่ต้นของการระบาดโควิดระลอกแรก ก่อนใจแป้วเพราะโควิดด่านแตกรอบ 2 และยังไม่ทันตั้งหลักหายใจหายคอก็มาเจอช็อตต่อเนื่องกับอาการโควิดกำเริบระลอก ล่าสุด
มันจึงถึงจุดสุดทานทน ที่ประชาชนจะยอมรับชะตากรรมที่ไม่รู้อนาคตปลายอุโมงค์
โดยเฉพาะปมกระแทกอารมณ์ผู้คนในสังคมไทยแตกเป็นเสี่ยง
ตามปัจจัยเหตุโควิดระบาดระลอก 2 ต่อเนื่องระลอก 3 ที่ไม่ได้เป็นเหตุเหมือนกับทั่วโลก แต่มันเกิดที่ประเทศไทยประเทศเดียว ภายใต้อำนาจรัฐบาลทหารเฒ่า 3 ป. เท่านั้น
นั่นคือต้นตอโควิดระบาดจากการคอร์รัปชัน แฝงผลประโยชน์เทาๆดำๆ
ตามปรากฏการณ์โควิดระบาดระลอก 2 จาก “ด่านแตก” โรคระบาดทะลักมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพราะขบวนการค้ามนุษย์ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการมหาดไทย เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน “นอกรีต”
บางคน บางกลุ่ม รับส่วยแรงงานต่างด้าวเถื่อนเอาเชื้อโควิดเข้ามาแพร่กลางเมือง
โดยสถานการณ์ต่อเนื่องเชื้อโควิดยังไปโผล่ในบ่อนเถื่อนภาคตะวันออก ลามเป็น “คลัสเตอร์” ใหญ่ เครือข่ายโยงใย “หลงจู๊” เจ้าของบ่อนเส้นใหญ่ที่เชื่อมโยงกับบิ๊กตำรวจสายตรงอำนาจบิ๊กรัฐบาล
ได้อานิสงส์ “พระสมเด็จวัดระฆัง” คุ้มกะลาหัว
กว่าจะไล่ตามจับตามล็อก “หลงจู๊” เจ้าของบ่อนใหญ่ ก็เจอคนดูโห่ลิเกไล่ลงเวที ด่าปาหี่แหกตาชาวบ้าน อาการยึกๆยักๆของผู้มีอำนาจไม่กล้าเอาจริง แหยง “หยิกเล็บเจ็บเนื้อ”
คิวบ่อน “หลงจู๊” แผลยังไม่ทันหาย ความ “ฉิบหาย” ในหมู่ขบวนการคอร์รัปชันส่วยก็บังเกิดซ้ำจากโควิดการระบาดระลอกล่าสุด จุด “คลัสเตอร์” เลานจ์ ผับ บาร์ สถานบันเทิงย่านทองหล่อ กลางกรุงเทพฯ
นักการเมือง นักธุรกิจ ไฮโซ ไฮซ้อ ดารา นักร้องดัง ติดกันระนาว
โควิดบุกถึงทำเนียบรัฐบาล “ศูนย์กลางอำนาจบริหาร”
คนระดับรัฐมนตรีอย่างนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ที่นั่งประชุมร่วมกับนายกฯ ใน ครม.ต้องตกเป็นเหยื่อ ติดเชื้อไวรัสมรณะ พ่วงกับ ส.ส.ร่วมพรรคภูมิใจไทยที่ติดเชื้อโยงจากคลัสเตอร์ทองหล่อ
และตามฟอร์มต้องตามมาด้วยคำสั่งย้ายตำรวจที่รับผิดชอบพื้นที่
และนั่นก็โป๊ะแตกอย่างจัง เมื่อโฟกัสชื่อของ พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผกก.สน.ทองหล่อ ที่ถูกเด้งไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 (ศปก.บก.น.5)
มีอีกสถานะโคตรใหญ่คือ “หลานเขย” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ลูกเขยของ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.
ผู้คนร้องอ๋อ ไม่แปลกใจที่ได้นั่งแท่น “เก้าอี้ทองคำฝังเพชร”
ใครเป็นใคร วางเส้นสาย โยงขุมข่ายอำนาจหมกเม็ดกันยังไง ภาพเชิงซ้อนผลประโยชน์โผล่ชัด
โควิดประจาน “ล่อนจ้อน” เลย
สถานภาพ “รัฐ” ภายใต้ขุมอำนาจ 3 ป. ที่แฝงไปด้วยจุดเทาๆดำๆจากไวรัสคอร์รัปชัน
ขบวนการโหนอำนาจ หาผลประโยชน์บนความเป็นความตายของชาวบ้านตาดำๆซ้ำเติมประชาชนที่กำลังลำบากจากโควิดล้อมเมือง แทบอดมื้อกินมื้อ ในขณะที่พวกกินส่วยฟันกันเป็นร้อยล้าน พันล้าน
กัดกร่อนความชอบธรรม รัฐบาล “บิ๊กตู่” ต่ำเตี้ยลงทุกขณะ
ตามสภาพผู้นำเผชิญวิกฤติความเชื่อมั่น รัฐที่แฝงไปด้วยขบวนการคอร์รัปชัน เสี่ยงเข้าภาวะรัฐล้มเหลวในห้วงไวรัสโควิดระบาดหนัก สังคมเหลื่อมล้ำจากการเลือกปฏิบัติจากภาพของรัฐมนตรีติดโควิดยึกยักไทม์ไลน์ ต่างกับคนจนที่โดนขู่ข้อหาติดคุกหากปกปิดข้อมูล
โดยอารมณ์โหมชนวน เติมเชื้อไฟม็อบรุ่นใหม่ที่ติดเครื่องรอชุมนุมใหญ่ไล่ขุมอำนาจ 3 ป.
ตามอาการเชื้อคอร์รัปชัน “ส่วย” โผล่เร่งการระบาดไวรัสมรณะ รัฐบาลผสมที่สะดุดหัวคิวผลประโยชน์โหลดเชิงบริหารต่ำเตี้ย ต่อให้ทีมรัฐบาลฉีดวัคซีนโควิด ครบ 2 เข็ม ชะลอฤทธิ์ไวรัสมรณะได้
แต่ไม่แน่ว่าจะต้านม็อบรุ่นใหม่ ผสมโรงม็อบคนอดอยากได้อีกกี่อึดใจ.
“ทีมการเมือง”