เมื่อการระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศ มีแนวโน้มคลี่คลายดีขึ้น ทำให้บรรยากาศการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมือง หวนกลับมามีชีวิตชีวายกระดับเพิ่มดีกรีความดุเดือดเผ็ดร้อนมากกว่าเดิม

แม้จุดเริ่มต้น “นัดชุมนุมเป็นการแสดงออกสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” มีเจตนารมณ์โดยสงบสันติปราศจากอาวุธ แต่ก็มักปรากฏว่ามีการใช้ถ้อยคำมุ่งปลุกระดม “มวลชน” ออกมาก่อความไม่สงบ “ลักษณะปิดถนน หรือพยายามปิดยึดสถานที่ราชการ” ทำให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อนอยู่บ่อยๆ
เหตุนี้ “รัฐบาล” ต้องสั่งการให้ “ตำรวจ” เข้าทำหน้าที่ควบคุมเหตุการณ์คอยอำนวยความสะดวก ควบคุมดูแลไม่ให้เกิดการละเมิดกฎหมาย และสิทธิเสรีภาพผู้อื่นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำให้ “ผู้ชุมนุมไม่พอใจ” กลายเป็นเหตุปะทะกันของ “ผู้ชุมนุมกับตำรวจ” หรือ “ผู้ชุมนุมกับประชาชนอีกฝ่ายไม่เห็นด้วย” ในช่วงที่ผ่านมานี้
...
ด้วยการหยิบจับวัตถุขณะนั้นขึ้นมาเป็น “อาวุธ” ไม่ว่าจะเป็นท่อนไม้ ไม้ปลายธง ก้อนอิฐปูพื้นทางเท้า ขวดแก้ว เข้าทำร้ายร่างกายกัน แม้สิ่งนี้ “ไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ” แต่ก็อยู่ในความหมายของอาวุธตาม ป.อ.ม.1 (5) นิยาม “อาวุธ” หมายถึง อาวุธโดยสภาพ รวมถึงสิ่งมุ่งหมายใช้เป็นอาวุธ เช่น ขวดแก้ว ท่อนไม้ หิน ก้อนอิฐ
อย่างเช่นล่าสุด “เหตุการณ์ 28 กุมภาฯ” ในการชุมนุมกลุ่ม REDEM แนวร่วมกลุ่มราษฎร จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์บ้านพักของนายกรัฐมนตรี หน้ากรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ต่างพยายามเคลื่อนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ และฝ่าแนวตำรวจในพื้นที่นั้น “เกิดปะทะ” ด้วยกระสุนยาง แก๊สน้ำตา ตามมา
ลุกลามบานปลายเป็น “เหตุจลาจล” ส่งผลให้ “ตำรวจ” จำเป็นต้องเข้า “สลายการชุมนุม” ที่มีมาตรการปฏิบัติควบคุมฝูงชน ตั้งแต่การเจรจาให้ยุติการละเมิดกฎหมาย จนถึงมาตรการอื่นตามความร้ายแรงของสถานการณ์ เช่น ใช้โล่ผลักดันให้ถอย ใช้แก๊สน้ำตา น้ำฉีด ใช้กระบองตี

โดยเฉพาะ “การใช้กระสุนยางยิงผู้ชุมนุม” เหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรก “กระสุนยางแตก” นับตั้งแต่ “คสช.” เข้ามาบริหารประเทศ มีผู้ถูกจับกุม 23 ราย ทำให้ “ผู้ชุมนุมไม่พอใจ” ก่อเหตุขว้างปาสิ่งของใส่ สน.ดินแดง จุดไฟเผารถสายตรวจ “ชาวดินแดง” กดดันให้ถอยร่นไป เหตุการณ์นี้มีบาดเจ็บ 33 ราย ตร.เสียชีวิต 1 นาย
ดังนั้นตอนนี้ “ตำรวจ” ได้กลายเป็น “ผู้ร้ายในสายตาประชาชนที่ตกเป็นจำเลยสังคม” ด้วยเหตุเพราะ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” มีหน้าที่บำบัดทุกข์ ป้องกันเหตุร้าย ต้องออกมาดูแลควบคุม “การชุมนุม” ให้เป็นไปตามกรอบกฎหมาย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยนี้ เสมือนต้องถูกผลักให้เป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนตามมา
“ทีมสกู๊ปหน้า 1” มีโอกาสพูดคุยกับ “สารวัตรลิต” ผู้เชี่ยวชาญงานด้านปราบปรามจลาจล สตช. ให้ข้อมูลว่า แนวทางปฏิบัติงานของตำรวจต้องเป็นตามแบบแผน สตช.กำหนดไว้ นำมาประกอบ “หลักกฎหมายมหาชนตามหลักสากล” ในการปฏิบัติตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ขณะนั้น
ถ้าหากการชุมนุมมีความรุนแรงอยู่ระดับใดก็ใช้ “ยุทธวิธีพร้อมอุปกรณ์ที่มีอยู่” ให้ตรงตามความรุนแรงนั้น ไม่สามารถทำตามลำดับตามการฝึก ทดสอบ หรือวางแผนได้เสมอไป แต่ต้องดำเนินการภายใต้หลักพื้นฐานไม่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นมากเกินกว่าความเหมาะสม และความจำเป็นตามกฎหมายนี้
จริงแล้ว...“การชุมนุมยุคนี้” ไม่สามารถใช้ “แผนกรกฎ 52” เข้ามารับมือเข้าควบคุมได้ เพราะรูปแบบการชุมนุมปรับเปลี่ยนใหม่ ทำให้ต้องปรับการปฏิบัติตามแผนการชุมนุมสาธารณะ 2558 เน้นความเหมาะสม ความจำเป็นตามสถานการณ์ที่ต้องขึ้นอยู่ “ดุลพินิจ ผบ.เหตุการณ์” เพื่อหยุดยั้งการละเมิดกฎหมายเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
หลักเกณฑ์ขั้นตอนการปฏิบัติต้องอยู่กับ “ผู้ชุมนุม” ถ้าควบคุมกันเองให้อยู่ในกรอบกฎหมาย เช่น ชุมนุมในพื้นที่ที่ทางราชการกําหนดไว้ ลักษณะไม่กีดขวาง ไม่เคลื่อนขบวนรุกล้ำทางจราจร เช่นนี้ “ตำรวจ” ก็ไม่มีความคิด ในการใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนกับการชุมนุมตามกรอบกฎหมายได้เป็นแน่

แต่ส่วนใหญ่มัก “แสดงกิริยาเกรี้ยวกราด” ลักษณะการยั่วยุให้เกิดการปะทะอยู่เสมอ ทั้งยังมีการฝ่าฝืนขัดคำสั่งคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ในบางส่วนมีการกระทำผิดกฎหมายมากขึ้น ทั้งรุกล้ำพื้นที่ หรือเส้นทางหวงห้ามขว้างปาสิ่งของใส่ “เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน” และมีการปลุกระดมชักจูงให้ประทุษร้ายด้วยซ้ำ
ทำให้ “ผบ.เหตุการณ์” จำต้องสั่งให้ “ตำรวจควบคุมฝูงชน” ใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเอง หรือเครื่องมือ และอาวุธที่จำเป็นควบคุมฝูงชนตามแบบยุทธวิธี เพื่อไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่าฝืนกระทำผิดมากเกินไป แต่การใช้ “กำลังเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์” ต้องทำให้เหมาะกับพื้นที่บริเวณจุดการชุมนุมมาประกอบด้วยเสมอ
เช่น มีมวลชน 100 คน รุกล้ำพื้นที่หวงห้าม ในการใช้กำลังผลักดันอาจเกิด “เหตุชุลมุนวุ่นวาย” มีโอกาสได้รับบาดเจ็บมาก “ผบ.เหตุการณ์” อาจเลือกใช้ยุทธวิธีอื่นด้วยการใช้แก๊สน้ำตา 1 ลูกแทน แต่ยังฝ่าฝืนอีกก็จะเพิ่มระดับขึ้นตามลำดับ จนประเมินแล้วไม่ได้ผลอาจใช้ยุทธวิธีอื่นก็ได้ ที่เน้นลดการบาดเจ็บสูญเสียให้น้อยมากที่สุด
“การปฏิบัตินี้เป็นหลัก “การปกครอง” เพื่อยับยั้งยุติการชุมนุมต่อการละเมิดกฎหมาย แม้ว่าในบางครั้งอาจกระทบ “สิทธิของประชาชน” ทำให้มักอ้างว่า “ตำรวจ” กระทำเกินกว่าเหตุในการใช้กำลังสลายการชุมนุมมาตลอดเช่นกัน เรื่องนี้ย่อมเป็นสิทธิสามารถกล่าวหาได้ และคงต้องพิสูจน์ตามข้อเท็จจริงกันต่อไป” สารวัตรลิต ว่า
ประเด็น...“ใช้อุปกรณ์อาวุธพิเศษควบคุมฝูงชน” ต้องเป็นสถานการณ์ชุมนุมเปลี่ยนเกิดความวุ่นวาย “ลักษณะการจลาจล” มีการใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ หรือทำลายทรัพย์สินทางราชการต่อเนื่อง เหตุนี้ “ตำรวจควบคุมฝูงชน” สามารถใช้กระสุนยางตอบโต้ได้ แต่เป็นเหตุผลการป้องกันตัว ป้องกันหน่วย หรือพื้นที่อาคารนั้น
คำว่า “อาวุธในที่นี้” อาจไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ แต่สิ่งมุ่งหมายใช้เป็นอาวุธ เช่น ขวดแก้ว ท่อนไม้ หิน ก้อนอิฐ ใช้ในการขว้างใส่เจ้าหน้าที่ก็ถือว่า “เป็นอาวุธ” ได้เช่นกัน ในส่วน “กระสุนยาง” ก็เป็นอาวุธตามสากลมีลักษณะไม่อันตรายถึงชีวิตสามารถใช้ควบคุมฝูงชนได้
เมื่อ “ภยันตรายใกล้ถึงตัว” เจ้าหน้าที่ก็มีสิทธิป้องกันตัวได้เสมอ

สิ่งสำคัญ...“การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ” ต้องบันทึกภาพเหตุการณ์ผู้ก่อความรุนแรงในการชุมนุมอยู่ตลอด เพื่อเป็นพยานหลักฐานไว้เบื้องต้น อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่คอยสังเกต “ล็อกเป้าผู้ใช้ความรุนแรง” ด้วยเช่นกัน “ไม่ใช่เป็นการจับกุม หรือใช้กระสุนยางกับผู้ชุมนุมทุกคน” ซึ่งเป็นไปตามยุทธวิธีการควบคุมฝูงชนถูกฝึกมา
การปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์ “จลาจล” เช่นนี้ย่อมมีโอกาสเกิดการพลาดพลั้งได้อยู่แล้ว แต่ก็เป็น “เรื่องความประมาท” ถ้ามองว่า “เจ้าหน้าที่รัฐ” กระทำการละเมิดตรงไหนอย่างไรสามารถใช้สิทธิเรียกทาง “กระบวนการยุติธรรม” เพื่อนำเข้าสู่การเยียวยากันต่อไป ในกรณีมีการละเมิดเกิดขึ้นนี้
ตอกย้ำว่า...“ตำรวจควบคุมฝูงชนปฏิบัติหน้าที่” มักตกเป็น “จำเลยสังคม” ขณะเดียวกัน “ตำรวจ ก็คือ ฝ่ายอำนาจรัฐ” มีหน้าที่ทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ มิเช่นนั้นความสงบเรียบร้อยย่อมไม่เกิดต่อบ้านเมืองได้แน่
ยอมรับว่าทุกครั้ง “เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน” ต่างรู้สึกเป็นห่วงเกี่ยวกับ “การชุมนุม” เพราะบางคนมักกระทำการยั่วยุ เพื่อให้เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ด้วย “การรุกล้ำพื้นที่เส้นทางหวงห้าม” ทำให้ต้องออก “อาวุธอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน” กดดันสกัดยับยั้งการกระทำผิดไม่ให้ละเมิดกฎหมายรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ในฐานะ “ตำรวจ” ต้องออกมาปฏิบัติหน้าที่เผชิญหน้ากับ “กลุ่มผู้ชุมนุม” รู้สึกลำบากใจมาตลอด เสมือนในสายตาประชาชนหลายคนมองว่า “ตำรวจเป็นศัตรู” ไปแล้ว แต่ด้วยการเลือกเข้ามาในหน้าที่นี้ที่มีกฎระเบียบข้าราชการบังคับให้ต้องเป็นผู้รักษากฎหมาย ทำให้ต้องจำใจยอมปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเคร่งครัดต่อไป
สุดท้ายนี้ฝากถึง...“ประชาชน” สามารถชุมนุมได้อย่างสงบตามกรอบรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ได้อย่างเต็มที่ แต่ต้องไม่ควรยั่วยุให้เกิดการปะทะ หรือฝ่าฝืนขัดคำสั่งคำแนะนำ เพราะ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ก็ไม่มีจุดประสงค์ใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนจาก “เหตุจลาจล” ที่มักนำไปสู่ “ความรุนแรง” มีผลต่อการบาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่ายอยู่เสมอด้วยซ้ำ
ย้ำว่า...“ประชาชน” มีเสรีภาพชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธเต็มที่ “เจ้าหน้าที่” ก็มีหน้าที่ดูแลควบคุมให้เป็นไปด้วย “ความเรียบร้อย” เหตุนี้ทุกฝ่ายยึดมั่นตามหลัก “กฎหมายจริงๆ” ความรุนแรงย่อมไม่เกิดขึ้นได้แน่.