“พุทธิพงษ์” ส่งทีมงานฟ้องเชือด “ธนาธร” เอาผิด ม.112-พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เซ่นไลฟ์วิจารณ์วัคซีนสู้โควิด “หมอวรงค์” ตั้งพรรคไทยภักดีรับลูกฟ้องซ้ำ ดาบสอง “พิธา” ขยี้ภาวะผู้นำนายกฯ ไม่ใช่มาหัวร้อน “ชัยธวัช” จี้แจงการใช้งบฯให้สังคมสิ้นสงสัย ไม่ใช่ไล่ปิดปากห้ามตรวจสอบ ซัดแจ้งความดะไม่เป็นผลดีกับสถาบันฯ “วิโรจน์” ท้าเปิดสัญญาอย่าอำพรางปกปิด พท.อัด รบ.จ่ายเยียวยาทำประชาชนลำบาก “พิชัย” กระทุ้งจ่ายเป็นเงินสด ภท.ไม่ไหวจะทน 61 ส.ส.ชงนายกฯรีบแก้ไข 2.5 ล้านคนเข้าไม่ถึงสิทธิ “กวิ้น-รุ้ง-ไมค์” มอบตัวสู้ ม.112“ภาณุพงศ์” เป็นงงใส่ครอปท็อปเดินห้างผิดหมิ่นประมาทได้อย่างไร

รัฐบาลมอบหมายนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นแม่งาน เข้าแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ผิดมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากกรณีไลฟ์เฟซบุ๊กวิจารณ์การนำเข้า วัคซีนโควิด-19 อ้างบิดเบือนข้อมูลและพาดพิงสถาบันฯ ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ส่งทีมกฎหมายประเดิมฟ้องซ้ำอีกคดี

...

“บี” ฟ้อง “ธนาธร” ผิด ม.112–พ.ร.บ.คอมฯ

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 20 ม.ค. ที่กองบังคับการ ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรม ทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วย รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) นายทศพล เพ็งส้ม กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วย รัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เข้าแจ้งความกับ พ.ต.อ.ทองศูนย์ อุ่นวงค์ ผกก.กลุ่มงานสอบสวน บก.ปอท.เอาผิดนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ผิดมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีไลฟ์เฟซบุ๊กวิจารณ์การนำเข้าวัคซีนโควิด-19 นายทศพลกล่าวว่า รับมอบหมายจากนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส มาแจ้งความเอาผิดนายธนาธร หากพบใครเกี่ยวข้องอีกจะดำเนินคดีทั้งหมด ส่วนที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งคำถามเรื่องงบฯวัคซีนเป็นการชี้นำให้เข้าใจผิด

พรรคไทยภักดีจ่อฟ้องซ้ำดาบสอง

ที่สำนักงานพรรคไทยภักดี ถนนพระราม 5 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้ากลุ่มไทยภักดี แถลงว่า ขณะนี้สถาบันพระมหากษัตริย์กำลังถูกคุกคาม มีพรรค การเมืองร่วมมือกับการเคลื่อนไหวนอกสภาฯ อาทิ กลุ่มคณะราษฎร กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่มนักเรียนเลว กลุ่มเยาวชนปลดแอก มีกลุ่มบุคคลอยู่เบื้องหลังใช้เวลาประมาณ 10 เดือน ยกระดับโจมตีสถาบัน ยั่วยุ ปลุกปั่นเยาวชนให้เกลียดชังสถาบัน ต่อเนื่อง มุ่งเป้าล้มเลิกมาตรา 112 กลุ่มดังกล่าว คือ ม็อบ 3 นิ้ว คณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล กลุ่มไทยภักดีจำเป็นต้องขยายเครือข่ายเพิ่มศักยภาพต่อสู้ บัดนี้ถึงเวลาแล้วประกาศจัดตั้งพรรคไทยภักดี เป็นหัวหอกต่อสู้และพรรคไทยภักดีจะให้ทีมกฎหมายไป แจ้งความดำเนินคดีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ข้อหาผิดมาตรา 112 เป็นอันดับแรก

โฆษก รบ.แจงฟ้องให้รับผิดชอบ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า แนวทางของนายกฯ หากมีประเด็นที่ออกมาพูดต่อสาธารณชนต้องรับผิดชอบ อาจกระทบกับความเข้าใจของประชาชน ฝ่ายกฎหมายต้องพิจารณาข้อมูลข่าวสารสำคัญหากบิดเบือนข้อมูลหรือพูดแล้วเกิดความเข้าใจผิด คงต้องดำเนินการ อย่างน้อยจะได้ทราบว่าการพูดทุกอย่างต้องมีความรับผิดชอบ และต้องดูแลเนื้อหา หากคนทำงานโดยสุจริต เมื่อมีผู้พูดแล้วทำให้เสื่อมเสียต่อเขา ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด คงต้องดูในแง่กฎหมายว่าในสิ่งต่างๆเหล่านั้นจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก จะได้ลดความขัดแย้งลงด้วยและลดความเข้าใจผิดของประชาชน

ไม่จ่ายเงินสดเหตุทำคู่ขนานฟื้นฟู ศก.

นายอนุชากล่าวถึงมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า โครงการเราชนะเป็นโครงการเยียวยาประชาชนในกลุ่มเปราะบาง ที่ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงไม่ให้เป็นเงินสด เพราะโครงการเราชนะเยียวยาไปพร้อมการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการ กระตุ้นเศรษฐกิจในร้านหาบเร่แผงลอย และตลาดสด ปลายเดือน ม.ค. จะประเมินสถานการณ์ ถ้าดีขึ้นจะมีมาตรการอื่นๆเพิ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น กระทรวงการคลังอาจทำคนละครึ่งเฟส 3 และ ธปท.หารือให้มีซอฟต์โลนระยะยาวและการค้ำประกันเงินกู้อื่นๆ รัฐบาลกำลังเตรียมออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ มอบให้กระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ดูแลเศรษฐกิจให้แข่งขันกับประเทศอื่นได้ ส่วนมาตรการปลดล็อก ศบค.จะประเมินเพราะมีผู้ได้รับผลกระทบจากหลายสาขาอาชีพ จะบริหารให้สมดุลทั้งสาธารณสุขและ เศรษฐกิจ การจัดซื้อจัดหาวัคซีนที่เป็นประเด็นอยู่ขณะนี้ รัฐบาลทำด้วยความรอบคอบไม่นำเรื่องการเมือง มาเกี่ยวกับการตัดสินใจ

ซักฟอกโอกาสดี รบ.ได้ชี้แจง

นายอนุชากล่าวอีกว่า วันที่ 16-19 ก.พ. จะมี การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รัฐบาลถือเป็นโอกาสดีที่จะได้มีโอกาสชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบถึงการทำงานของรัฐบาล ข้อสงสัยที่ฝ่ายค้านมี ก็จะเป็นโอกาสให้รัฐมนตรีได้ชี้แจง ตอนนี้ยังไม่ทราบว่า มีรัฐมนตรีคนใดถูกอภิปราย หรือนายกฯจะถูกอภิปรายฯ เรื่องอะไร แต่มั่นใจว่าสิ่งต่างๆที่รัฐบาลดำเนินการมา ทำให้ประชาชนมั่นใจว่าการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความโปร่งใสและตั้งใจจริง ในทางการเมือง อาจมีบุคคลบางกลุ่มพูดประเด็นต่างๆขึ้นมา ทำให้เกิดข้อสงสัย หรืออาจทำให้เกิดข้อกังวล เป็นหน้าที่รัฐบาลจะชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลโดยตรง และถูกต้อง ไม่บิดเบือน แต่รัฐบาลอยากให้เกิดบรรยากาศที่ทุกฝ่ายร่วมกันทำงาน หรือที่เรียกว่ารวมไทยสร้างชาติ ร่วมมือไปด้วยกัน

“พิธา” จี้ภาวะผู้นำ “บิ๊กตู่” อย่าหัวร้อน

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม สั่งดำเนินคดีผู้ให้ข้อมูลบิดเบือนการจัดหาวัคซีนว่าท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่สังคมสับสนและเครียด ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์มีวุฒิภาวะ ความเป็นผู้นำ สังคมไม่ต้องการคนหัวร้อนกระฟัด กระเฟียด ย้ำว่าประชาชนทุกคนไม่ว่าตนหรือนาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า มีสิทธิ ตั้งคำถามถึงงบประมาณจัดหาวันซีนกว่า 4,000 ล้านบาท ภาษีของประชาชน พล.อ.ประยุทธ์เพียงแค่ตอบมา แต่กลับเลือกจะหัวร้อนไม่ตอบคำถาม หลักการสำคัญ การบริหารจัดการวัคซีนคือความโปร่งใส หลายประเทศ กระจายความเสี่ยงโดยจัดหาวัคซีนจากหลากหลายบริษัท แต่ประเทศไทยผูกขาดกับบริษัท แอสตร้า เซนเนกาถึง 90 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลควรนำเวลาไป จัดการ และแก้ไขปัญหาขจัดความสิ้นหวังที่กัดกินประชาชน รวมถึงหาต้นตอการแพร่ระบาดไม่ว่าการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวข้ามมาจากชายแดน รวมถึง การลักลอบเปิดบ่อนพนันด้วย

ซัด “วรงค์” ดึงสถาบันยุ่งการเมือง

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ทวิตผ่านทวิตเตอร์ กรณี นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แถลง ข่าวก่อตั้งพรรคไทยภักดี ว่า การตั้งพรรคชูปกป้องสถาบัน กษัตริย์ ไม่ว่าหวังดีต่อสถาบันฯหรืออ้างเพื่อทำลายผู้อื่น แต่ทั้งหมดคือการนำสถาบันฯเข้ามาอยู่ใน “แดนทาง การเมือง” หากประชาชนเลือกพรรคนั้นน้อยจะหมายความ อย่างไร การปกป้องสถาบันฯที่ถูกต้องช่วยกันรักษาสถานะความเป็นกลางทางการเมืองของสถาบัน

กก.ฉะ รบ.ต้องชี้แจงไม่ใช่มาปิดปาก

เมื่อเวลา 15.15 น. ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงว่ากรณีรัฐบาลมอบหมายให้ตัวแทนไปแจ้งความเอาผิดนายธนาธร กรณีการไลฟ์ของนายธนาธร กล่าวหามีเนื้อหาทำให้สถาบันโดนดูถูกเกลียดชัง พรรคเห็นว่าการแสดงความคิดเห็นของนายธนาธรเป็นการตรวจสอบการจัดการวัคซีนโควิดของรัฐบาลเพื่อให้โปร่งใส ไม่ใช่ชี้นำให้เกิดการดูถูกเกลียดชัง นายกฯเป็นคนแรกที่เปิดเผยเรื่องนี้เมื่อวันที่ 27 พ.ย.63 ในพิธีเซ็นสัญญาว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงพระราชทานให้บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ หน้าที่รัฐบาลต้องชี้แจงโดยละเอียดการใช้งบฯ ต้องเปิดเผยสัญญาทั้งหมดให้สาธารณชนหายสงสัย ไม่ใช่มาปิดปากไม่ให้ตรวจสอบ

ฟ้องดะแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับสถาบัน

นายชัยธวัชกล่าวว่า การแจ้งความครั้งนี้ตอกย้ำการใช้ ป.อาญา มาตรา 112 พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ รวมถึงมาตรา 116 เป็นเครื่องมือปิดปากผู้เห็นต่างจะยิ่งส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน การฟ้องแบบนี้ไม่ใช่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกวิธี ที่สำคัญขัดหลักสากล พรรคก้าวไกลเตรียมเสนอร่างแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับฐานความผิดหมิ่นประมาททั้งหมด รวมทั้ง ป. อาญา และมาตรา 112 เป็นต้น เป็นชุดกฎหมายที่ต้องการผลักดันให้เกิดการคุ้มครองเสรีภาพประชาชน รวมทั้งรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มีความมั่นคงในสังคมไทย ชอบธรรม ดำรงอยู่ได้ด้วยความพร้อมใจของประชาชน ไม่ใช่บังคับใช้กฎหมายที่มีโทษเกินกว่าเหตุ

บี้เปิดสัญญาอย่าอำพรางปกปิด

ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงว่า คนระดับนายกฯต้องทำทุกอย่างให้โปร่งใส ขอเรียกร้องเอาสัญญาให้สาธารณชนดู รัฐบาลนี้มีอดีต ผบ.ทบ.อยู่ใน ครม.ถึง 3 คน ความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต้องปกป้องพระเกียรติยศ คำนึงถึงสิ่งที่ตัวเองทำว่าระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาทหรือไม่ นายกฯและพวกต้องเอาสัญญามาเปิดเผย เพราะเงินสนับสนุนเป็นภาษีประชาชน ถ้าเป็นเงินนายกฯจะไม่ว่า ถึงอย่างไรต้องตาม เป็นเรื่องสาธารณะต้องเปิดเผย เอาสัญญามาก็จบ ไม่ต้องมาปากดี ทำภาพตัดแปะ ไม่เอา ถ้าบอกว่าผมเป็นขยะ หรือใครเป็นขยะ ท่านก็เป็นสวะเหมือนกัน การเก็บเงียบไม่ตอบคำถามและนำมาตรา 112 มาดำเนินคดีกับคนตั้งคำถาม คือการทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นประเด็นทางการเมือง เป็นเรื่องที่ประชาชนควรรู้จากการตั้งคำถาม ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด คนที่บิดเบือนคือ พล.อ.ประยุทธ์ เรียกว่าอำพราง จะอำพรางข้อมูลข้อเท็จจริงทำไม วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ได้ดำเนินการ แต่ขอกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ว่าอำพรางปกปิดสัญญา

พท.แถลงการณ์ซัด รบ.ทำ ปชช.ลำบาก

วันเดียวกัน พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์เกี่ยวกับมาตรการเยียวยาของรัฐบาล มีเนื้อหาสรุปว่า พรรคเพื่อไทยผิดหวังกับมาตรการเยียวยาของรัฐบาล เนื่องจากมาตรการไม่สอดคล้องกับความเดือดร้อนของประชาชน ภาคเอกชน แรงงานทั้งในและนอกระบบ เศรษฐกิจประเทศยังไม่ฟื้นจากการใช้ยาแรงของรัฐบาลระลอกแรก และจากการสั่งหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจระลอกนี้ นอกจากขาดมาตรการแล้ว รายละเอียดและกระบวนการของมาตรการยังเป็นปัญหา ไม่ว่าจะจำกัดไม่ให้เบิกเป็นเงินสด การต้องใช้ผ่านระบบแอปพลิเคชัน เหล่านี้สร้างภาระทำให้มาตรการที่ไม่เพียงพอในเชิงปริมาณอยู่แล้ว ยังมีปัญหาในเชิงประสิทธิภาพด้วย ทำให้เกิดความลำบากต่อประชาชนในการเข้าถึงมาตรการของรัฐบาลโดยไม่จำเป็น และด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงแรงงานได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง พรรคยืนยันว่ามาตรการเร่งด่วนที่เสนอ เป็นสิ่งจำเป็นที่รัฐบาลพึงดำเนินการในทันที ไม่ว่าจะเป็นกองทุนสินเชื่อเพื่อ SMEs ผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 1 ล้านล้านบาท การแก้ พ.ร.ก.ซอฟต์โลน มาตรการคงการจ้างงาน การพักหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย และมาตรการลดภาระของประชาชน

“พิชัย” บี้เยียวยาจ่ายเป็นเงินสด

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า มาตรการเยียวยาประชาชนเดือนละ 3,500 บาท 2 เดือน นอกจากเงินจะน้อยแล้ว ระยะเวลายังสั้นไป อีกทั้งไม่จ่ายเป็นเงินสด จ่ายเข้าบัญชีให้นำไปใช้จ่ายได้แบบโครงการคนละครึ่ง สร้างความไม่พอใจให้ประชาชนที่จำเป็นต้องใช้เงินสดหลายกรณี จึงอยากให้เร่งเปลี่ยนจ่ายเยียวยาเป็นเงินสด การอ้างว่ากลัวประชาชนจะไปซื้อลอตเตอรี่ เหล้า บุหรี่ กลัวว่าประชาชนใช้เงินหมดเร็ว คิดเหมือนประชาชนไม่มีปัญญาบริหารจัดการตัวเอง ดูเหมือนรัฐบาลสับสน ทั้งที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเตือนแล้วว่าคิดให้ดี ให้ครบกรอบก่อนออกมาตรการ ส่วนที่รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเปลี่ยนเงื่อนไขปล่อยกู้ช่วยเหลือ SMEs ให้สะดวกขึ้นง่ายขึ้นวงเงิน 5 แสนล้านบาทที่ปล่อยไปได้แค่แสนกว่าล้านบาท แต่มี SMEs อีกมากยังต้องการความช่วยเหลือ อยากให้เร่งและอยากให้เพิ่มวงเงินช่วย SMEs เพิ่มเติมหากจำเป็น

ภท.ชง “บิ๊กตู่” แก้ไข 2.5 ล้านคนเข้าไม่ถึง

ที่รัฐสภา นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อและนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทยพร้อม ส.ส.พรรค แถลงขอให้ดำเนินการโครงการเราชนะให้ครอบคลุมทั่วถึงถ้วนหน้าต่อผู้รับสิทธิ โดยนายศุภชัยกล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีโครงการ “เราชนะ” ช่วยเหลือลดค่าครองชีพให้ประชาชน พรรคได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า การคัดกรองผู้ได้รับสิทธิกลับมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่ได้รับสิทธิ เนื่องจากให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน พรรคได้ตรวจสอบไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่าปัจจุบันยังมีผู้ใช้โทรศัพท์แบบอนาล็อก 2.5 ล้านคน รัฐบาลต้องไม่ปล่อยปละละเลยกลุ่มคนจำนวนนี้ พรรคจึงจะส่งหนังสือไปยังนายกฯ ลงนามโดย ส.ส.ของพรรคทั้ง 61 คนขอให้ไม่ละเลยเพิกเฉย ควรรีบเร่งแก้ไขปัญหานี้เร่งด่วน เพื่อให้เสมอภาค เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

ภาคีรถรับจ้างร้องอ่วมโควิดขาดรายได้

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ตัวแทนกลุ่มภาคีเครือข่ายรถสาธารณะ นำโดยนายสันติ ปฎิภาณรัตน์ รักษาการประธานภาคีเครือข่ายรถรับจ้างสาธารณะ ยื่นหนังสือถึง นายกฯ ผ่านนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วย รมต.ประจำนายกฯขอความช่วยเหลือเดือดร้อนโควิด-19 แพร่ระบาด นายสันติกล่าวว่า ภาคีเครือข่ายฯทั้งกลุ่มอาชีพรถจักรยานยนต์รับจ้าง รถแท็กซี่ รถโดยสารไม่ประจำทางและกลุ่มรถประจำทาง ต่างเดือดร้อนลำบาก ไม่มีรายได้ และกลุ่มพวกเราได้รับการปฏิบัติไม่เป็นธรรมหลายประการจากกรมการขนส่งทางบก ทั้งกฎหมายไม่เป็นธรรมและการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงขอให้นายกฯสั่งการให้ตั้งคณะทำงาน จัดประชุมแก้ไขปัญหาต่างๆอย่างเร่งด่วน

“สุกิจ” แจงไทม์ไลน์ซักฟอก–รื้อ รธน.ยังไม่นิ่ง

เมื่อเวลา 11.50 น. ที่รัฐสภา นพ.สุกิจ อัตโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาฯ แถลงชี้แจงกรณีข่าวที่ปรากฏออกไปเกี่ยวกับกำหนดวันประชุมสภาฯในสมัยประชุมนี้ว่า เรื่องหลักที่ประธานสภาฯหารือกับประธานวิป 2 ฝ่ายประเด็นหลักคือ 1.การวางแนวทางการประชุมสภาฯ มีหลายประเด็น เช่น การเพิ่มจำนวนผู้ขอหารือก่อนเข้าระเบียบวาระการประชุม เนื่องจากที่ผ่านมาหยุดการประชุมไปทำให้มีเรื่องความเดือดร้อนของประชาชนแต่ละพื้นที่ตกค้างจำนวนมาก 2.เรื่องการประชุมชดเชยช่วงที่หยุดไป ข่าวที่ออกไปเรื่องกำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจและพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงการวางกรอบคร่าวๆ อาจไม่ตรงที่เป็นข่าวไปแล้ว ยังไม่มีการกำหนดตายตัว เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจตอนนี้ฝ่ายค้านยังไม่ได้ยื่นญัตติมา ยังไม่รู้จะยื่นวันไหนและจะอภิปรายรัฐมนตรีกี่ท่าน

พท.ตั้งเป้าชิง 350 ส.ส.ยันไร้พรรคสาขา

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงข่าวแต่งตั้งคณะกรรมการประสานพื้นที่เขตเลือกตั้งทั่วประเทศ โดยนายสมพงษ์กล่าวว่า พรรคได้ปรับปรุงโครงสร้างเพื่อความแข็งแกร่ง ตั้งคณะกรรมการประสานพื้นที่ในเขตเลือกตั้งทั่วประเทศสานงานในเขตพื้นที่รับฟังปัญหาในเขตเลือกตั้ง มีเป้าหมายตั้งใจจะส่งผู้สมัคร ส.ส.ทุกเขตเลือกตั้ง 350 เขต จะต่อสู้ศึกเลือกตั้งอย่างเด็ดเดี่ยวและไม่มีพรรคเสริมใดๆทั้งสิ้น

“เฉลิม” อู้อี้ส่ง–ไม่ส่งชิงผู้ว่าฯ กทม.

ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า พรรคมีนโยบายส่งผู้สมัครเลือกตั้งเต็มพื้นที่ทั้งประเทศ มีนโยบายและตั้งใจจะบริหารประเทศชาติพรรคเดียวถ้าเป็นไปได้ ยืนยันไม่มีพรรคนอมินี พรรคเล็กพรรคน้อยที่ส่งไป เอาแบงก์พันไปแลกแบงก์ร้อย ใครไปอ้างขออย่าไปเชื่อ ที่สำคัญพื้นที่ กทม.เป็นพื้นที่ใหญ่ ถ้าเรามีนโยบายให้คนใดคนหนึ่งมารับผิดชอบไม่ชนะ จึงต้องแบ่งความรับผิดชอบ แบ่งเป็น 6 โซน ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.กำลังหารือแต่ยังไม่มีข้อยุติ สำหรับสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) จะส่งลงทุกเขต ใครเคยอยู่มาแจ้งความจำนงว่าขอลงต่อ ใครไม่กลับมาจะหาคนใหม่ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพราะคนคนเดียวรับผิดชอบทั้ง กทม.ไม่ได้ ตามมารยาททางการเมืองคนออกไปแล้ว ต้องไม่มายุ่งเกี่ยวกับคนของพรรค ถ้าออกไปแล้วแต่ยังไปๆมาๆเช่นนี้ไม่สง่างาม

“กวิ้น–รุ้ง–ไมค์” เข้าแถวมอบตัว ม.112

เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ สน.ปทุมวัน นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน น.ส.ปนัสยา หรือรุ้ง สิทธิจิรวัฒนกุล นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง แกนนำกลุ่มราษฎร น.ส.เบญจา อะปัญ และแนวร่วมเยาวชนอีก 2 คน เข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกคดีมาตรา 112 กรณีแต่งชุดครอปท็อปเดินศูนย์การค้าสยามพารากอน พร้อมพูดพาดพิงสถาบัน เมื่อ 20 ธ.ค.63 โดยมวลชนที่มาให้กำลังใจนำป้ายไวนิลเขียนข้อความว่า “ยาไม่จับ บ่อนไม่จับ จับแต่นักเรียน นักศึกษา ราษฎร” มาแขวนหน้าโรงพัก ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาขอให้ถอดออกจนเกิดเหตุชุลมุนขึ้นเล็กน้อย

งงใส่ครอปท็อปเข้าข่ายหมิ่นประมาท

จากนั้นนายภาณุพงศ์กล่าวว่า สับสนว่าการแต่งชุดครอปท็อป เข้าข่ายมาตรา 112 ได้อย่างไร หากบอกเป็นการล้อเลียน หมิ่นประมาทเท่ากับว่าเป็นการยอมรับว่าแต่งครอปท็อปไม่ได้หรือไม่ อยากให้เจ้าหน้าที่คุ้มครองสิทธิของเยาวชนอย่างสูงสุด เนื่องจากทราบว่าจะมีการนำเยาวชนส่งศาลฝากขัง เมื่อถามว่ากรณีศาลสั่งจำคุกนางอัญชัญ ปรีเลิศ อดีตข้าราชการกรมสรรพากรในคดี 112 ทำให้เกิดความกลัวหรือไม่ น.ส.ปนัสยาตอบว่า การตัดสินของศาลนับเป็นเรื่องน่าเศร้า เราได้ผ่านความกลัวมาแล้ว ตอนนี้คือการไปต่อ เราถูกคดีมาตรา 112 มามากแล้ว โดยนายพริษฐ์ 15 คดี ตน 8 คดี และนายภาณุพงศ์ 6 คดี

ตร.ไหวทันขวาง 2 แกนนำชักธง สน.

ขณะที่ พ.ต.ท.เจริญสิทธิ์ จงอิทธิ รอง ผกก. (สอบสวน) สน.ปทุมวัน กล่าวว่า กลุ่มผู้ต้องหาที่ไม่ใช่เยาวชน เมื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเสร็จปล่อยตัวกลับ เนื่องจากรายงานตัวตามหมายเรียก ส่วนเยาวชน 2 ราย ต้องส่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ตรวจสอบความถูกต้องของการแจ้งข้อกล่าวหา และพิจารณาส่งสถานพินิจควบคุมตัวตามขั้นตอน ต่อมาเวลา 13.00 น. หลังรับทราบข้อกล่าวหานายพริษฐ์ และ น.ส.ปนัสยา ได้เดินเข้าไปพยายามกดปุ่มเสาธงชักลอกอัตโนมัติของ สน. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าขวาง และให้ออกจากจุดนั้น ทำให้ชุลมุนกันเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายจากกันไป