“เรืองไกร” ย้อนเกล็ดตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยื่น ป.ป.ช.ไต่สวนวินิจฉัย “บิ๊กตู่” อยู่บ้านหลวงมิชอบ ขัดรัฐธรรมนูญ ม.234 (1) และกฎหมายของตัวเอง งัดคำวินิจฉัยที่ 27/2544 ชี้ระเบียบ ไม่ใช่บทบัญญัติของกฎหมาย ยกอ้างระเบียบ ทบ. เอื้อนายกฯ ขัด ม.73 พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 ที่กำหนดคำวินิจฉัยต้องยกบทบัญญัติของ รธน. หรือกฎหมายมาอ้างอิงเท่านั้น “ชัยเกษม” ขยี้ซ้ำ รธน. เน้นที่ผู้รับไม่ใช่ผู้ให้สิทธิประโยชน์ “ภราดร” เช็กข้อมูลต่อยอดลากขึ้น เวทีซักฟอก ซัด รบ.ทำแต่เรื่องอัปยศ ขู่ไม่อาจต้าน พลังม็อบได้ ปชป.ส่ง “เทอดพงษ์” ร่วม กก.สมานฉันท์ “จุรินทร์” ไม่เอาด้วยกระบวนการเตะถ่วงยื้อแก้รธน. “ธนกร” แนะทางลงกลุ่มราษฎรร่วมวงปรองดอง
ฝ่ายค้านยังคงหาแง่มุมข้อกฎหมาย ยื่นตรวจสอบการทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีมีคำวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม มีสิทธิอยู่บ้านพักรับรอง ได้ตามระเบียบกองทัพบก โดยนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ และอดีตคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ไต่สวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจงใจใช้อำนาจขัดกฎหมาย

...
“เรืองไกร” ย้อนศรมัดตุลาการศาล รธน.
เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ และอดีตคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม มีสิทธิอยู่บ้านพักรับรองได้ตามระเบียบกองทัพบก ดูจะมีปัญหาตามมาทั้งเรื่องรับประโยชน์เกิน 3,000 บาท และการใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมาย แม้หลายฝ่ายจะอ้างว่าเรื่องนี้ควรจบได้แล้ว เพราะคำวินิจฉัยออกมาแล้วแต่อาจไม่เป็นเช่นนั้น หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีพฤติการณ์ที่ไม่ชอบตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) ย่อมจบยากและคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีหน้าที่และอำนาจเข้ามาไต่สวนได้ สิ่งที่นักการเมืองและหลายฝ่ายมองไม่ทะลุ คือตามนัยคำวินิจฉัยที่ 27/2544 ที่ศาลไม่รับวินิจฉัยเรื่องระเบียบและประกาศของคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ที่ออกตาม พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ.2527 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยให้เหตุผลว่าระเบียบและประกาศนั้นไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมาย ดังนั้นระเบียบกองทัพบกดังกล่าวย่อมไม่ใช่บทบัญญัติของกฎหมาย การยกระเบียบกองทัพบกมาวินิจฉัยจึงอาจไม่ชอบ
ยื่น ป.ป.ช.ไต่สวนใช้อำนาจขัด รธน.-ก.ม.
“เพราะว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 73 บัญญัติว่า คำวินิจฉัยต้องยกบทบัญญัติของรัฐ-ธรรมนูญหรือกฎหมายมาอ้างอิงเท่านั้น การยกระเบียบกองทัพบกซึ่งมิใช่บทบัญญัติของกฎหมายมาอ้าง จึงมิอาจทำได้ เมื่อคำวินิจฉัยนำระเบียบกองทัพบกมาใช้ จึงไม่เป็นไปตามมาตรา 73 กรณีย่อมมีปัญหาตามมาว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเข้าข่ายจงใจปฏิบัติ หน้าที่ขัดต่อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) หรือไม่ จะร้องขอให้ ป.ป.ช.ไต่สวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าจงใจใช้อำนาจขัดกฎหมาย ตามความในมาตรา 234 (1) หรือไม่ จะส่งคำร้องไปทางไปรษณีย์อีเอ็มเอส เช้าวันที่ 7 ธ.ค.” นายเรืองไกรกล่าว
“ชัยเกษม” ชี้ รธน.มองคนรับไม่ใช่คนให้
นายชัยเกษม นิติศิริ ประธานคณะกรรมการการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีมีการร้องให้คณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบระเบียบกองทัพบกเกี่ยวกับบ้านพักรับรองว่า ถ้าไปดูกฎระเบียบทางราชการ การออกระเบียบแม้เป็นเรื่องของแต่ละหน่วยงาน แต่สภาฯมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รวมถึงการออกระเบียบต่างๆว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ข้อกำหนดเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ รัฐธรรมนูญมองที่ผู้รับ ทั้งข้าราชการการเมือง นายกฯว่าควรจะรับหรือไม่ ไม่ได้มองที่ผู้ให้ ถ้าเปรียบเทียบบริษัทเอกชนออกระเบียบว่าใครเป็นนายกฯให้ไปอยู่บ้านพักของเขาได้ แบบนี้นายกฯจะไปอยู่ฟรีใช้น้ำใช้ไฟฟรีจะขัดรัฐธรรมนูญ หรือไม่ แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเช่นนี้ ทุกฝ่ายต้องยอมรับ แต่สภาฯที่เป็นผู้จัดสรรงบประมาณแผ่นดิน ต้องไปตรวจสอบจะปล่อยให้มีการออกกติกาแบบนี้ต่อไปได้อย่างไร เพราะจะให้หน่วยราชการทำเช่นนี้กับภาษีของประชาชนได้หรือ
พท.ฉะ “วิษณุ” บิดเบือนอ้าง “ป๋าเปรม”
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหมอยู่บ้านพักรับรองทหาร ไม่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ว่า สร้างความพิศวงงงงวยให้นักกฎหมายทั่วหน้า แต่ที่หนักข้อเข้าไปอีกคือการที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯอธิบายความยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่าเสมือนกับกรณีของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ในฐานะอดีต ผบ.ทบ.ที่อยู่บ้านสี่เสาเทเวศร์ แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีรัฐธรรมนูญแบบฉบับปี 2560 ที่ระบุว่าห้ามรับประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานราชการ จึงเป็นคนละเรื่องกัน และตำแหน่งประธานองคมนตรีมิได้มาข้องแวะกับกติกานี้ด้วย การยกตัวอย่างของนายวิษณุจึงบิดเบี้ยวไปจากข้อเท็จจริง
เฉ่ง รบ.ทำแต่เรื่องอัปยศจะเจอพลังม็อบ
พล.ท.ภราดรกล่าวอีกว่า พฤติการณ์แบบนี้ทำให้รัฐบาลถูกกล่าวขวัญว่าเป็นรัฐบาลแหล่งสะสมเชื้อโรคความไม่ชอบธรรม เป็นศูนย์รวมความหน้าด้าน อับจนทางปัญญามองคณะราษฎรเป็นศัตรู ทั้งๆที่เขาคือลูกหลาน การกระทำแต่ความอัปยศของรัฐบาลนี้ จึงไปเพิ่มพลเมืองแนวร่วมจำนวนมหึมาขึ้นเรื่อยๆให้แก่คณะราษฎร กลางเดือนนี้การชุมนุมรุกไล่รัฐบาลจะเริ่มเป็นระลอก ทำให้เราทำนายจุดจบของรัฐบาลนี้ได้เลยว่านายกฯจะมิอาจต้านพลังการชุมนุมประท้วงขับไล่ของคณะราษฎรได้ และรัฐบาลก็ต้องล้มคว่ำลงตามไป
รอเช็กข้อมูลมีน้ำหนักพอลากขึ้นเขียง
เมื่อถามว่าประเด็นดังกล่าว พรรคเพื่อไทยจะนำไปพิจารณาเป็นประเด็นอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ พล.ท.ภราดรกล่าวว่า ณ ตอนนี้ถือเป็นข้อมูลหนึ่งที่จะนำมาพิจารณาเพื่อไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะตอนนี้ยังมีอีกหลายประเด็นที่มีข้อสงสัยอยู่ อีกทั้งยังมีการร้องไปยังคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. เราจะนำข้อมูลเหล่านี้รวมกับความคิดเห็นของนักกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้มารวบรวม หากมีน้ำหนักเพียงพอจะนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ต่อไป
สอนเชิงรัฐบาลตั้ง ธ.เพื่อการท่องเที่ยว
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะ ผอ.ศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ภาคท่องเที่ยวเป็นภาคการผลิตที่ใหญ่และสำคัญมากของไทย ครอบคลุม ห่วงโซ่อุปทานไปหลายภาคส่วน แต่มีลักษณะจำเพาะมีความไม่เป็นทางการสูง เป็นรายย่อยสูง และมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบธนาคารปกติรวมถึงพวก Soft Loan จึงล้มตายกันมากช่วงโควิด-19 จำเป็นที่จะต้องมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อดูแลภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ หรือธนาคารเพื่อการท่องเที่ยว ทั้งในแง่สินเชื่อในวิกฤตินี้และวิกฤติอื่นๆในอนาคต อีกทั้งธนาคารเพื่อการท่องเที่ยวยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลจะส่งผ่านมาตรการภาครัฐผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ไปสู่ภาคท่องเที่ยว อย่างที่มี ธ.ก.ส.ไว้รองรับมาตรการการเกษตรใหญ่ๆ และเป็นเครื่องมือกำหนดทิศทางพัฒนาการท่องเที่ยวไทยที่ยังไร้ทิศทาง หากต้องการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ใช้ทิศทางการให้สินเชื่อและมาตรการภาครัฐ เพื่อชี้นำการพัฒนาท่องเที่ยวในลักษณะท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้
ปชป.ส่ง “เทอดพงษ์” นั่ง กก.สมานฉันท์
ที่สนามบินหาดใหญ่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ว่า พรรคได้ส่งนายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นตัวแทนเข้าร่วม อยากเรียกร้องทุกฝ่ายใช้เวทีนี้หาทางออกให้ประเทศ หวังว่าบางฝ่ายที่ยังไม่ประสงค์จะเข้าร่วม อยากให้เข้ามาร่วมเวทีกลาง ถ้าไปปฏิเสธเวทีนี้ยังนึกไม่ออกจนถึงขณะนี้ว่าเราจะไปใช้เวทีไหน ได้มอบให้ผู้แทนพรรคไปเสนอเมื่อได้ประชุมแล้วว่า ต้องไม่ใช้มติเสียงข้างมากไปบังคับเสียงข้างน้อย ถ้าเป็นอย่างนั้น สมานฉันท์กันไม่ได้ ฝ่ายข้างน้อยจะรู้สึกว่าใช้เสียงข้างมากบังคับ เวทีนี้ไม่ควรเป็นอย่างนั้น จึงอยากให้เข้าร่วม ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตาม

ไม่เอาด้วยเกมยื้อเตะถ่วงแก้ รธน.
นายจุรินทร์กล่าวอีกว่า ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระที่ 1 และเข้าสู่วาระที่ 2 กมธ.ใช้เวลา 45 วัน หากเป็นไปตามเงื่อนเวลาคาดว่า กมธ.จะพิจารณาเสร็จช่วงปลายเดือน ม.ค. และเดือน ก.พ.นำเข้าสู่วาระที่ 3 ได้ หลังจากนั้นต้องนำไปทำประชามติ มาถึงนาทีนี้กฎหมายประชามติยังไม่มีอะไรน่ากังวล ผ่านขั้นรับหลักการวาระที่ 1 ไปแล้ว เราพร้อมให้ความร่วมมือผลักดันเต็มที่ อะไรที่เป็นปัญหาอุปสรรคทำให้ต้องล่าช้าโดยไม่จำเป็นเราไม่สนับสนุน ไม่ประสงค์จะให้เกิดเหตุนี้ขึ้น ถือว่าการแก้รัฐธรรมนูญเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา ผูกมัดคนทั้งประเทศไว้แล้วด้วย
แอบหวัง พท.เปลี่ยนใจโดดแจม
นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านมีมติไม่ส่งคนเข้าร่วมคณะกรรมการสมานฉันท์ว่า ดำริของประธานรัฐสภาบอกแล้วว่าตั้งคณะกรรมการได้เท่าไหร่ทำไปก่อนถือเป็นจุดเริ่มต้น ท่าทีฝ่ายค้านปฏิเสธใช่ว่าจะปิดประตูตายทางออกสมานฉันท์เสียทีเดียว ในอนาคตยังมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน โดยไม่ต้องมีใครไปบังคับหรือกะเกณฑ์เช่น การกำหนดสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิ แต่เดิมสำนักงานเลขาธิการสภาฯเสนอให้กรรมการชุดนี้เสนอชื่อและลงมติเห็นชอบด้วยเสียงกึ่งหนึ่ง แต่ได้ปรับเปลี่ยน ให้ใช้เสียง 2 ใน 3 ป้องกันข้อครหาเปิดช่องให้ส่งคนของรัฐบาลเข้ามามีตำแหน่งเพิ่ม จะให้มั่นใจได้ว่าผู้ทรงคุณวุฒิที่ต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายอย่างแท้จริง อีกปัจจัยล่าสุดที่พรรคเพื่อไทยผลัดเปลี่ยนตั้งคณะกรรมการต่างๆใหม่ อาทิ คณะกรรมการการเมือง น่าจะมีนายเสนาะ เทียนทอง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการ แต่ละคนมีประสบการณ์ ผ่านความขัดแย้งมาไม่น้อย เมื่อถึงจุดที่สถานการณ์เปลี่ยน พรรคเพื่อไทยอาจเข้าร่วมสมานฉันท์ก็ได้
“ธนกร” แนะม็อบราษฎรร่วมปรองดอง
นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากผลสำรวจสำนักวิจัยซูเปอร์โพล สะท้อนประชาชนส่วนใหญ่ยังสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ในสถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้ จึงอยากให้พรรคร่วมฝ่ายค้านเพลาๆ การเล่นการเมืองลงบ้าง เอาเวลามาช่วยกันทำงานให้ประเทศ โดยเฉพาะช่วยกันพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ช่วยกันแก้ปัญหาความขัดแย้งให้กับบ้านเมืองดีกว่า ไม่ใช่เวลาที่จะมาเอาชนะกันทางการเมือง เพราะอีกไม่กี่ปีก็ครบเทอม ต้องเลือกตั้งใหม่แล้ว ควรเอาเวลาที่เหลือมาช่วยกันทำงานแก้ไขปัญหาให้บ้านเมืองจะดีกว่า นอกจากนั้น กลุ่มราษฎรควรจะหาทางลงเข้าสู่กระบวนการสมานฉันท์ จะดีกว่า เพราะการชุมนุมมีแต่จะส่งผลเสียต่อประเทศ ที่สำคัญการเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ควรยุติทันที เพราะเราได้เห็นถึงพลังศรัทธาแห่งการจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของพี่น้องประชาชนคนไทยแล้ว ขอให้ทุกฝ่ายเห็นแก่ประเทศ อย่านำประเทศไปสู่ความขัดแย้งอีก
ชาวบ้านมองการเมืองยิ่งร้อนแรงขึ้น
วันเดียวกัน นิด้าโพล เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “พล.อ.ประยุทธ์เดินหน้าต่อ...แล้วม็อบล่ะ?” หลังผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังสามารถดำรงตำแหน่งนายกฯต่อไปได้ ระหว่างวันที่ 3-4 ธ.ค.จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป 1,315 หน่วยตัวอย่าง ปรากฏว่าร้อยละ 27.38 ระบุสถานการณ์การเมืองจะร้อนแรงขึ้นอย่างน่ากังวล ร้อยละ 22.89 ระบุการเมืองจะร้อนแรงเหมือนเดิม แต่ไม่มีอะไรน่ากังวล ร้อยละ 17.64 การเมืองจะร้อนแรงขึ้น แต่ไม่น่ากังวล ร้อยละ 17.49 การเมืองจะร้อนแรงเหมือนเดิมและยังคงน่ากังวลอยู่ ทั้งนี้ ร้อยละ 35.13 เห็นว่าการชุมนุมของม็อบราษฎรจะยกระดับ แต่ไม่สามารถกดดันรัฐบาล ร้อยละ 29.36 ระบุการชุมนุมจะไม่สามารถยกระดับและไม่สามารถกดดันรัฐบาลให้ทำตามข้อเรียกร้องได้ ร้อยละ 12.17 ระบุการชุมนุมจะยกระดับจนกดดันรัฐบาลได้ ร้อยละ 8.21 ระบุการชุมนุมจะลดระดับและไม่สามารถกดดันรัฐบาลได้
ปชช.เอือม รมต.ดีแต่ตัดริบบิ้นเปิดงาน
ด้านซูเปอร์โพลนำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง “ราษฎรจะไปต่อ ทางออกประเทศไทย” จากประชาชนทั่วประเทศ 2,108 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1-5 ธ.ค. เมื่อถามถึงความเห็นเรื่องการหยุดม็อบคุกคามผู้อื่น สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ที่ต้องการเดินทางสัญจรไปมา พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.2 ระบุควรหยุดได้แล้ว มีเพียงร้อยละ 1.8 ระบุว่าทำต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความรู้สึกเบื่อหน่าย เสียงส่วนใหญ่ร้อยละ 98.6 รู้สึกเบื่อหน่ายบรรดารัฐมนตรีที่เอาแต่เปิดงานนิทรรศการ เสียดายงบฯ ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ ร้อยละ 91.8 ระบุต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือธงนำปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบเป็นอย่างแรก ร้อยละ 8.2 ไม่ต้องการ ร้อยละ 98.4 ให้ใช้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยเหลือเด็กยากจน แก้อุปสรรคของการศึกษา
ไทยภักดีแจ้งจับ “กวิ้น-ครูใหญ่” ผิด ม.112
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ สภ.เมืองขอนแก่น ตัวแทนกลุ่มไทยภักดีขอนแก่นและกลุ่มขอนแก่นรักสถาบัน เดินทางเข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีมาตรา 112 กับนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” และนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ “ครูใหญ่ ขอนแก่นพอกันที” 2 แกนนำคณะราษฎร 63 ภายหลังจากเห็นว่าการที่ทั้ง 2 คนขึ้นเวทีปราศรัยพูดจาก้าวล่วงสถาบัน ผิดกฎหมายและสร้างความไม่พอใจให้คนไทยทั้งประเทศ จึงรวบรวมหลักฐานคลิปการปราศรัยเน้นการชุมนุมที่ จ.ขอนแก่น มอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี
นายสุเนตร แก้วคำหาร อายุ 60 ปี ตัวแทนกลุ่มไทยภักดีขอนแก่น และกลุ่มขอนแก่นรักสถาบัน เปิดเผยว่า เรารวมกลุ่มกันมาในนามผู้รักสถาบันของ จ.ขอนแก่น เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับแกนนำม็อบปลดแอก มีการพูดจาก้าวล่วงสถาบันทำให้กลุ่มรักสถาบันทนไม่ได้ จึงรวบรวมหลักฐานเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองขอนแก่น หลักฐานเป็นคลิปการปราศรัยใน จ.ขอนแก่นเป็นส่วนใหญ่ เน้นไปที่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ และนายอรรถพล บัวพัฒน์ จากนี้ไม่ว่าเป็นใครก็ตามแต่ที่ขึ้นเวทีปราศรัยและพูดจาก้าวล่วงสถาบันอีก จะนำหลักฐานเข้าแจ้งความดำเนินคดีมาตรา 112 ทันที

“เอ๋” แจ้งจับ “เพนกวิน” ก.ม.คอมพ์ปั่นข่าวถูกฆ่า
วันเดียวกัน น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “พรุ่งนี้ ปารีณายื่นหนังสือร้อง ป.ป.ช. #บ้านพักทหาร #ปารีณาฟันกรรมาธิการรับเรื่องที่ศาลวินิจฉัยแล้วมาพิจารณาอีก #ไม่จบเจอ...เอ๋ วันนี้แจ้งความน้องเพนกวินข้อหา พ.ร.บ.คอมพ์เต้าเรื่องแกนนำจะถูกฆ่าในวันที่ 6 ธ.ค.พร้อมใส่ร้ายทหารในพระองค์เป็นผู้ฆ่า (ฆ่าโดยผู้บัญชาการทหารมหาดเล็ก ราชวัลลภ รักษาพระองค์) ปารีณาสุดทน จำเป็นต้องแจ้งความน้องนะคะ #หยุดใส่ร้ายผู้อื่นได้ไหมคะ”
เอาผิด “เรืองไกร-กมธ.” ราวีคดีบ้านหลวง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.ปารีณาได้โพสต์ภาพและข้อความ ระบุว่า “#เมื่อนักร้องฝ่ายค้านหลับตาร้อง #เหิมเกริมร้องตุลาการศาล เป็นนักกฎหมายต้องท่องใส่หัวว่าคำวินิจฉัยของศาลถือเป็นอันสิ้นสุด อย่าได้นึกคิด ทำตัวไม่เจียม เข้าใจว่าตนเก่งกล้า ฉลาดไปมากกว่าตุลาการศาลฯ สุดท้ายจะแค่กลายเป็นการโชว์โง่ โชว์ผยอง เมื่อนักกฎหมายคล้ายทำงานให้นักการเมือง วันๆต้องวิ่งไปร้องเรียนคนโน้นคนนี้ จริงเท็จไม่รู้ แต่ต้องไปกล่าวหา สร้าง ความเสียหายให้ผู้อื่นไว้ก่อน ร้องทุกคดี แต่ไม่ร้องคดีพานทองแท้ยกได้ไง แม่ธนาธรออกเอกสารสิทธิในป่าสงวนแห่งชาติลอยนวลอยู่ได้ไง คดีน้องชายธนาธรทุจริตปลอมแปลงเอกสารสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์และยัดเงินใต้โต๊ะ 3 งวด ว่าไง เงียบทำไม สังคมไม่เคยเห็นภาพของเรืองไกรติดตามและดำเนินคดีต่างๆ ในฝั่งฟากฝ่ายค้านเลย สังคมรู้...และเข้าใจเรืองไกร อาจทำไปเพื่อเงินหรือเพื่อใครกันแน่ ลืมตาบ้างหลับตาบ้างเวลาร้องเรียนคนไปทั่ว แต่ไม่น่าเชื่อวันนี้ร้อง ตุลาการศาลฯทำได้ทุกอย่างจริงๆ ป.ป.ช.ไม่สามารถไปก้าวล่วงตุลาการศาลฯ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจเหนือศาล มั่นใจ ป.ป.ช จะไม่รับคำร้อง แต่ถ้ารับ ป.ป.ช.จะถูกปารีณาฟ้องแน่นอนค่ะ # คำวินิจฉัยของศาลถือเป็นอันสิ้นสุด #มันจบที่ศาลแล้วนะ #ไม่จบเจอ...เอ๋”
ราษฎรฝั่งธนฯรำลึกใครฆ่าพระเจ้าตาก
เมื่อเวลา 16.30 น. มวลชนกลุ่มคณะราษฎรฝั่งธนบุรี พร้อมกลุ่มคนอาชีวะฝั่งธนบุรีจำนวนหนึ่ง พร้อมรถเครื่องขยายเสียง ลงพื้นที่รอบลานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (วงเวียน ใหญ่) เพื่อจัดกิจกรรมทางการเมือง ในหัวข้อ “ใครฆ่าพระเจ้าตากสิน” โดยตอนแรกแกนนำได้พามวลชนเดินเท้าเข้าไปภายในอนุสาวรีย์ เพื่อจะทำพิธีสักการะดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พ.ต.ท.สมรวย อินต๊ะนัย รอง ผกก.ป.สน.บุปผาราม ได้นำโทรโข่งพร้อมประกาศข้อความให้แกนนำพามวลชนออกจากพื้นที่ภายในอนุสาวรีย์ เนื่องจากไม่มีการขออนุญาตและอาจทำให้ถูกออกหมายจับตามกฎหมาย ท่ามกลางการโห่ร้องต่อต้านด่าทอขี้ข้าเผด็จการจากมวลชน แต่สุดท้ายแกนนำยอมพาผู้ร่วมกิจกรรมเดินเท้าออกจากอนุสาวรีย์มาปิดหัวถนนลาดหญ้าทั้งสองฝั่งเพื่อจัดกิจกรรมแทน
บวงสรวงลั่นฆ้องชัย โวย 2 มาตรฐาน
เวลา 18.00 น. นายชูเกียรติ แสงวงค์ หรือ จัสติน อายุ 29 ปี แกนนำคณะราษฎรฝั่งธนบุรี พร้อมกลุ่มแกนนำคณะราษฎร 63 รวม 10 คน ร่วมกันจุดธูปสักการะ พร้อมวางพวงมาลัยดอกดาวเรือง บวงสรวงดวงพระวิญญาณองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ภายในพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ ก่อนส่งตัวแทนลั่นฆ้องชัยเอาฤกษ์เอาชัย 3 ครั้ง แล้วมาเปิดปราศรัยทวงถามใครเป็นคนฆ่าพระเจ้าตาก? บุคคลที่ถูกอุ้มสูญหายไปอยู่ที่ไหน? เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดติดตามหา ทั้งนี้ มวลชนได้แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ ย้ำข้อเรียกร้องของคณะราษฎร โดยนายชูเกียรติ กล่าวว่า ทำไมตอนคนเสื้อเหลืองมาใช้พื้นที่ภายในลานพระบรมราชานุสาวรีย์ฯได้ แต่พอคณะราษฎรมาใช้บ้างจึงถูกขับไล่ข่มขู่จะออกหมายจับ ตลอดการจัดกิจกรรมมีกลุ่มภาคีการ์ดอาสา คอยรักษาความปลอดภัย พร้อมตั้งจุดวัดไข้ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ร่วมกิจกรรมสวมแมสก์ตลอดเวลา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
แกนนำรุ่นเล็กขย่มผลงาน รบ.เหลว
เมื่อเวลา 20.45 น. บรรยากาศการชุมนุมบนถนนลาดหญ้า ใกล้ลานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราช แกนนำคณะราษฎรฝั่งธนบุรี ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนทั้งชายและหญิงสลับกันขึ้นรถกระจายเสียงปราศรัยต่อหน้ามวลชนหลายร้อยคนอย่างต่อเนื่อง หัวข้อหลักยังคงมุ่งเน้นโจมตีการทำงานของรัฐบาลที่ล้มเหลว ปัญหาการถูกล่วงละเมิดทางเพศของสตรีในสถานศึกษา การแก้ไขกฎหมายแท้งไม่พร้อม รวมทั้งมีการกล่าวติติงการขอรับบริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วมของนายกรัฐมนตรี ขณะที่มวลชนทยอยเข้าและออกกันตลอดเวลา โดยไม่ปรากฏว่ามีแกนนำคนสำคัญมาขึ้นเวทีปราศรัย

นายกฯเปิดไหมไทยสู่เส้นทางโลกปี 10
เมื่อเวลา 17.30 น. ที่ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ปีที่ 10” โดยมีคณะเอกอัครราชทูตและคู่สมรส กงสุลใหญ่ประจำประเทศไทย รัฐมนตรีและคู่สมรสร่วมงาน พร้อมชมแฟชั่นโชว์จากนายแบบและนางแบบกิตติมศักดิ์ 41 คน ชุดผ้าไหมไทย ออกแบบตัดเย็บโดยนิสิตนักศึกษากว่า 70 แห่ง โดยนายแบบและนางแบบกิตติมศักดิ์ 41 คน โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า กิจกรรมนี้ เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ พ.ศ.2563 เป็นโอกาสอันดีที่ท่านทั้งหลายจะได้มาร่วมกันน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงส่งเสริมและสนับสนุนศิลปวัฒนธรรมการทอผ้าไหมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะได้ร่วมกันสดุดีในพระเกียรติคุณของทั้งสองพระองค์ และร่วมชื่นชมความสวยงามประณีตอันเป็นเอกลักษณ์ของผ้าไหมไทยและร่วมกันภาคภูมิใจไปกับชาวไทยทุกคน
ศาล รธน.ตีตกคำร้องม็อบปลดแอก
วันเดียวกัน สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่คำสั่งกรณีที่นายสนธิญา สวัสดี อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ตรวจสอบกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมนักเรียน นิสิต นักศึกษา และกลุ่มประชาชนเยาวชนปลดแอก (Free -YOUTH) จัดชุมนุมปราศรัย ไม่แจ้งการชุมนุมตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ มีข้อเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แก้ไขรัฐธรรมนูญ หยุดคุกคามเสรีภาพของประชาชน และมีการชูป้ายจาบจ้วงสถาบันฯ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอ ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อ 28 ก.ย.2563 ระบุตัวบุคคลที่กระทำ รวมทั้งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการชุมนุมปราศรัยวันที่ 19-20 ก.ย.63 ณ ท้องสนามหลวง ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าแม้จะระบุตัวบุคคล แต่ยังคงไม่มีการเพิ่มเติมให้เห็นถึงการกระทำ ข้อเท็จจริง พฤติการณ์ที่เกี่ยวข้อง จึงมีรายการไม่ครบถ้วนไม่ชัดเจน ไม่อาจเข้าใจได้ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
“สนธิญา” ยื่นไม่เข้าหลักเกณฑ์เงื่อนไข
คำสั่งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ระบุด้วยว่า อีกทั้งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ร้องแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ผู้ร้องไม่ดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปตามสั่ง จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องในส่วนการกระทำในการจัดการชุมนุมปราศรัยเมื่อ 19 ก.ค.63 ไว้วินิจฉัย ส่วนกรณีผู้ร้องกล่าวอ้างว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวมีการจัดปราศรัย เมื่อวันที่ 10 ส.ค.63 และวันที่ 19-20 ก.ย.63 ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด กรณีนี้จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสอง จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องในส่วนนี้ไว้วินิจฉัย และคำขออื่นย่อมเป็นอันตกไป