ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประเทศไทยวันที่ 13 พ.ค.กลายเป็นศูนย์ วันนี้ที่รอคอย อยากให้มีอีกเรื่อยๆ
ถ้าสถานการณ์ยังดีต่อเนื่องก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่รัฐบาลจะใส่กุญแจล็อกดาวน์ประเทศเอาไว้จนแน่นหนา คงต้องทยอยผ่อนปรนไปตามไทม์ไลน์ที่กำหนด หรืออาจเร็วกว่าเดิม
จากนั้นเข้าสู่โหมดที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ต้องนำรัฐนาวากู้ซากวิกฤติเศรษฐกิจที่พินาศย่อยยับจากพิษไวรัสมรณะ
ถือเป็นงานหนัก งานช้าง กว่าจะกระเตื้องขึ้นจนเห็นหน้าเห็นหลัง ต้องใช้เวลาแรมปีดังที่ “บิ๊กตู่” ว่าไว้
ต้องระดมทุกสรรพกำลัง ใช้สมาธิทุ่มเทแก้ปัญหานี้ แต่แน่นอนว่าระหว่างทางต้องเผชิญกับคลื่นแทรก สัญญาณรบกวนรอบด้าน คอยถ่วงแข้งถ่วงขา ค่อนแคะปรามาส
แค่ฝนซาไม่ทันไร ไวรัสโรคระบาดเบาลงไป ไวรัสการเมืองก็ส่อเค้ากลับมาแรงทันที
ตามฉากปลุกกระแสด้วยเลเซอร์ “ตามหาความจริง” ประวัติศาสตร์การเมืองในอดีตพฤษภา 35 พฤษภา 53 ของคณะก้าวหน้า-ก้าวไกล “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้าบอกว่านี่แค่จุดเริ่มต้น
แนวโน้มยกระดับสงครามไซเบอร์ กระตุ้นแนวร่วมมวลชนฟันน้ำนมรุ่นใหม่ราวีกับรัฐบาล ทหาร และฝ่ายความมั่นคง เลือกหยิบมาแค่บางเหตุการณ์ในอดีตหวังผลการเมืองเฉพาะฝั่งตัวเอง
“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-ปิยบุตร แสงกนกกุล” ดูโอค่ายสีส้มออกมาเคลื่อนไหวเป็นจังหวะสอดรับกับทีมงานสีแดง พรรคเพื่อไทย เครือข่ายนายใหญ่คนแดนไกล แปรรูปขบวนรบโค่นกระดานรัฐบาล
ทวงให้เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเช้าเย็น อ้างว่าเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องประชาชน แต่แฝงไว้ด้วยเหลี่ยมคูทางการเมืองจ้องจะเคลื่อนไหว นัดชุมนุมสุมไฟไล่รัฐบาล ตามจังหวะที่
...
“คนป.” เครือข่ายนักเรียน นิสิต นักศึกษา เคียงข้างประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลังรอออกตัวอยู่ที่จุดสตาร์ต
เงื่อนปมที่หยิบยกมาขยี้ขยายก็เป็นเรื่องเก่าซ้ำเดิม ดูเหมือนค่ายสีส้มจะหมดมุกต้องไปหยิบเหตุการณ์ต่อสู้ของคนเสื้อแดงมาหากิน ทั้งๆที่เคยดูถูกนายใหญ่แดนไกลและพลพรรคเสื้อแดงมาก่อน
และแน่นอนว่าปมแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องที่เป็นจุดเปราะบางจากพิษไวรัสโควิด-19 จะถูกเอามาขยี้รัวๆ
ชั่วโมงนี้ไม่ว่าใครมาบัญชาการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็ “เก๊กซิม” ทั้งนั้น ต่อให้ฝ่ายค้าน ค่ายส้ม-แดงเข้ามาก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ หมูๆ เหมือนที่คุยโวโอ้อวด
เอาแค่ประเด็นการแจกเงิน 3,000 บาทของ “ธนาธร” สุดท้ายเสียงด่าเต็มโซเชียล แจกแค่จิ๊บจ๊อยกะปริดกะปรอย กระหน่ำลงทะเบียนกันจนระบบล่ม แต่ได้ไปแค่กลุ่มคนหยิบมือเดียว
เกิดปัญหาดราม่าวุ่นวาย
เทียบกับการแจกเงินเยียวยา 5,000 บาทของรัฐบาล โปรเจกต์ใหญ่แจกคนนับสิบล้านคน
แม้มีปัญหาขลุกขลักบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ถึงมือ ตรงเข้าสู่บัญชีประชาชน ไม่มีปัญหาทุจริตฟาดหัวคิวเหมือนที่ผ่านๆมา
ของจริงกับมโนโซเชียล ต้องลงมือทำถึงจะรู้
ตอนนี้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กับนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กำลังแก้ปัญหาเยียวยาภาวะเศรษฐกิจกันมือเป็นระวิง แต่น่าเห็นใจเพราะเป็นเครื่องยนต์ตัวสุดท้ายที่ยังติดอยู่
ส่วนตัวอื่นไม่ดับก็ขับไปคนละทิศ พาณิชย์ เกษตรฯ คมนาคม ท่องเที่ยว กระทรวงใครกระทรวงมัน พรรคร่วมรัฐบาลเหมือนรวมกันเฉพาะกิจ แต่ไม่ใช่กิจการบ้านเมือง
แถมยังมีสนิมเนื้อในพรรคพลังประชารัฐ ออกมาห้อยโหน
“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่ใหญ่บิ๊กบราเธอร์ ผลักออกมาเป็นหนังหน้าไฟเกมเขย่าเก้าอี้หัวหน้า-เลขาฯพรรค
พลังประชารัฐ เพื่อหวังผลต่อยอดไปถึงการปรับ ครม.
ปล่อยโผกันออกมาสุดแหวก มีทั้งชื่อ “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง ขยับเป็น รมว.คลัง
“นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” โฆษกรัฐบาล มาเป็น รมช.คลัง
ว่ากันว่า ขนาด “บิ๊กป้อม” เองยังงง ไม่รู้ว่าโผนี้ลอยลมออกมาจากฝ่ายไหน สุดท้าย “บิ๊กตู่” ทุบโต๊ะเปรี้ยง ยังไม่ใช่เวลามาเล่นเก้าอี้ดนตรี ในอารมณ์ที่ “บิ๊กป้อม” ยังมึนไม่หาย
แต่บรรดาทีมงานจอมเขย่ายังไม่ยอมหยุดแน่ คงรอจังหวะเหมาะ
จะกลับมาเขย่าอีกรอบ
ถือเป็นไฟต์เดิมพันของ “บิ๊กตู่” ศึกนอกเตรียมปะทะ ศึกในรอปะทุ เฉพาะหน้ายังต้องจัดการปัญหาโควิด-19 ต้องสู้ด้วย “ภูมิคุ้มกันหมู่” วัคซีนธรรมชาติจากพลังศรัทธาประชาชนเกื้อหนุน
ขืนยังวนอยู่กับการเมือง old normal ต้องคอยป้อนกล้วยเลี้ยงลิงในพรรคพลังประชารัฐ จ่ายค่าต๋งพรรคร่วมรัฐบาล ลากกระเตงเรือเหล็กปะผุฝ่าหินโสโครก ภูเขาน้ำแข็ง ยังไงก็ไปลำบาก
ถึงจุดหนึ่งคนส่วนใหญ่ของประเทศจะตั้งคำถามเปรียบเทียบ ระหว่างการไปต่อของ “บิ๊กตู่” กับความอยู่รอดของชาติบ้านเมือง อันไหนจำเป็นกว่ากัน.
ทีมข่าวการเมือง