ดีใจเบาๆ

เอาแค่นี้ก่อน!

ด้วยมาตรการจากเบาไปหาหนักของรัฐบาลจนมาถึง “เคอร์ฟิว” เริ่มออกดอกเห็นผลอย่างมีนัยสำคัญ

อันหมายถึงว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้ลดลงเป็นลำดับจนมาถึงเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 28 คน (13 เม.ย.63) อย่างเป็นทางการ

ตัวเลขที่ออกมานั้นย่อมเป็นดัชนีชี้วัดที่บอกว่าเราได้ก้าวผ่านความยากลำบากไปสู่ความสำเร็จที่มองเห็นอยู่ข้างหน้า

ตัวเลขอย่างนี้เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าการแพร่เชื้อในประเทศไทยนั้นเหลือแค่ 10% เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นอยู่ในเงื่อนเวลา (15 เม.ย.63) ที่คาดกันมาก่อน

จะรอดหรือไม่รอดประเทศไทย?

ด้วยสถิติ ตัวเลข ในแง่วิทยาศาสตร์ที่มีการบันทึก วิจัยและค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนเห็นภาพข้างหน้าอย่างชัดเจน

ประมาณการด้วยหลักคิดอันนี้จึงเป็นสิ่งบอกเหตุได้ว่าไทยมีแนวโน้มที่แสดงให้เห็นว่าผ่านเส้นยาแดงผ่าแปดมาแล้ว

ก็มีคำถามว่าเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร?

คำตอบก็คือต้องดำเนินมาตรการเข้มข้นต่อไปอีกสักระยะหนึ่งเพื่อดูว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป

การผ่อนปรนหรือเข้มงวดต่อประชาชนจากมาตรการต่างๆ นั้นยังไม่สามารถที่จะดำเนินการได้ทันที เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าถึงเวลาแล้ว

หากประมาท ชะล่าใจ ใจอ่อน หวนกลับมารอบ 2 เท่ากับว่าที่ทำมานั้นถือว่าล้มเหลวและจะหนักหนาสากรรจ์กันทั้งชาติ

ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ได้ยกตัวอย่างจีนที่ผ่านสงครามไร้เงาคู่ต่อสู้จนคุมสภาพการแพร่ระบาดมาได้จนกระทั่งมีการเปิดเมืองบางส่วนที่เมืองอู่ฮั่นให้ประชาชนได้ผ่อนคลายบ้าง

...

แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบกติกาเพื่อฉุดรั้งใจไม่ให้ระเริงหลังเพิ่งผ่านศึกมาสดๆร้อนๆ

เพราะที่ยังหวั่นไหวกันไม่น้อยกับตัวแปรที่ยังคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ที่เห็นอันหนึ่งคือการระบาดซ้ำเข้ามาอีก

เช่นไวรัสที่แตกหน่อแตกเชื้อด้วยเผ่าพันธุ์ใหม่ๆ คนติดเชื้อไม่ออกอาการ การแพร่เชื้อจากคนประเทศหนึ่งเคลื่อนไปอีกประเทศหนึ่ง

ยังมีอีกหลายประเทศที่สถานการณ์แพร่ระบาดยังไม่มีแนวโน้มที่จะสงบลงได้ในเวลาใกล้ๆ เท่ากับว่ายังสามารถแพร่ระบาดข้ามทวีปได้อีก

มาตรการต่างๆจึงต้องคงไว้และพัฒนาการอย่างรู้เท่าทันโรค

มีการพูดกันว่ากว่าจะเอาอยู่ได้อย่างสนิทใจก็คือจะต้องปรุงวัคซีนออกมาป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 ได้อย่างชะงัด

เห็นบอกว่าต้องใช้เวลานานพอสมควรคาดว่าไม่สิ้นปีนี้ก็อีก 1 ปี หรืออีกหลายปีก็ได้ อยู่ที่ความสามารถของผู้เชี่ยวชาญซึ่งกำลังเร่งศึกษาค้นคว้าอย่างเอาการเอางาน

ยิ่งสามารถระดมสมองแปลกเปลี่ยนความคิดอย่างกว้างขวางจากประเทศต่างๆ เชื่อว่าคงอีกไม่นานที่จะบรรลุผล

การคุมเข้มจึงยังจำเป็น แต่จะให้ลากยาวรอวัคซีนคงเป็นไปไม่ได้

“โควิด-19” นั้นนอกจากแพร่เชื้อแล้วยังมีความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวพันกับคนทั้งระบบและเป็นการบ้านที่หนักหนาไม่ใช่เล่น

“สงกรานต์” ปีนี้คงทำให้คนไทยทุกคนชื่นมื่นกันบ้างแหละ...

“สายล่อฟ้า”