มวลมนุษยชาติกำลังเข้าสู่ดินแดนมหันตภัยที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน
ถึงจุดที่องค์การอนามัยโลกประกาศให้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” เป็นการระบาดใหญ่ของโลก (pandemic) ที่มีขอบเขตในทางภูมิศาสตร์อย่างกว้างขวาง ก่อผลกระทบกับผู้คนจำนวนมาก
ไวรัสมรณะลุกลามไปทั่วทุกทวีป เอเชีย ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย ไม่สามารถควบคุมได้
ประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อิหร่าน อิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา กลายเป็นโซนสีแดง พื้นที่การระบาดหนัก บางส่วนถึงขั้นประกาศปิดประเทศ
ห้ามคนเข้าออก ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นต่อเนื่อง แปรผันตามจำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นแบบรายชั่วโมง
สถานการณ์เทียบเคียงได้กับการเกิดสงครามโลก
และยิ่งกระตุ้นอาการตื่นผวา เมื่อคนดังระดับ “ทอม แฮงค์” สตาร์ฮอลลีวูดยอมรับติดไวรัสโควิด–19 พร้อมภรรยา ระหว่างถ่ายหนังที่ประเทศออสเตรเลีย ขณะเดียวกันก็มีข่าวนักกีฬาดังติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั้งนักฟุตบอล ผู้จัดการทีมในลีกดังของยุโรป นักบาสเกตบอลเอ็นบีเอในสหรัฐฯ
รวมถึงรัฐมนตรีของประเทศในกลุ่มยุโรปที่หนีไม่พ้นติดเชื้อโควิด-19
ระบาดเข้าถึงทุกวงการ ไวรัสมรณะลุกลามกระจาย ก่อความเสียหายใหญ่หลวง ทั้งคร่าชีวิตผู้คน สั่นสะเทือนภาวะเศรษฐกิจ กระทบธุรกิจการบิน การท่องเที่ยวชะงัก วงการกีฬาต้องยกเลิกการแข่งขัน
ไม่กล้าเสี่ยงอันตรายกับเชื้อมฤตยูที่มองไม่เห็น
เป็นภาวะความหวาดกลัวที่สร้างความระส่ำระสายกันไปทั่วทั้งโลก

...
ขณะที่ประเทศไทยกำลังอยู่บนเขตชายแดนการระบาดระยะที่ 2 พยายามสกัดกั้นไม่ให้ข้ามไปสู่สถานการณ์ระบาดระยะที่ 3 หรือ Super Spreader ติดต่อจากคนสู่คนภายในประเทศเป็นวงกว้าง
ตามสัญญาณตัวเลขคนติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นแบบพุ่งพรวดในวันเดียวนับสิบราย ประกอบแนวโน้มสถานการณ์คนไทยที่อพยพกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงจำนวนมาก
จากรูปการณ์ทำให้ยากต่อการควบคุมการแพร่กระจาย
ที่แน่ๆพังทลายไปพร้อมๆกับกระแสไวรัสมรณะ สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยที่ดิ่งเหว ตกทะรูดทะราด ภายหลังองค์การอนามัยโลกประกาศโควิด–19 เป็นการระบาดใหญ่
จนต้องใช้ “เซอร์กิต เบรกเกอร์” มาตรการหยุดพักซื้อขายชั่วคราว
สถานการณ์แบบที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ต้องรีบกระตุกความมั่นใจนักลงทุน ประกาศจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น มอบหมายให้กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ศึกษาและเร่งจัดตั้งกองทุนสร้างเสถียรภาพทางตลาดทุน เพื่อดูแลตลาดทุนไทยจากภาวะที่ตลาดหุ้นไม่ปกติ
ทำให้ตลาดหุ้นไทยเด้งกลับมาอยู่ในแดนบวก หลังตื่นข่าวร้าย
“สมคิด” เล่นบทสิงห์ปืนไว ขืนชักช้าหุ้นหลุดแนวรับพันจุดแน่
ทั่วโลกระส่ำ คนกลัวตายจากไวรัสมรณะ เศรษฐกิจส่อพังระเนระนาด
และนั่นก็ถึงจุดที่ทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตัดสินใจรับบท “แม่ทัพ” สู้สงครามไวรัส จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
โดยนายกรัฐมนตรีนั่งกำกับเป็นประธานด้วยตัวเอง
ท่ามกลางความสับสนอลหม่านแบบไทยๆที่รอวันไหลเข้าสู่ “กลียุค”
จากภาพที่เห็นกันชัดๆภายใต้วิกฤตการณ์เดียวกัน ประเทศจีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สู้ไข้โควิด–19 ด้วยยุทธศาสตร์และ “สปิริต” คนในชาติ จนสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย
แต่ประเทศไทยเผชิญไวรัสมรณะด้วย “ดราม่า”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสียงด่าทอ Fake news เต็มไปหมด ชาวบ้านแยกไม่ออก ข่าวปลอม ข่าวจริง
ไม่สนภาวะความเป็นความตาย นักการเมืองยังอาศัยจังหวะเตะตัดขา พรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายค้านเล่นเกมช่วงชิงเกมอำนาจ นักวิชาการ ขาประจำ ขาจร โชว์ฟอร์มสร้างราคา ดาราผสมโรงโหนกระแสปั่นเรตติ้ง
ใช้อารมณ์ความถูกใจเหนือเหตุผลความเป็นจริงในทางปฏิบัติ

กลายเป็นว่า นายกฯ รัฐบาล ทำอะไรก็ผิดไปหมด
และนั่นก็เป็นภาวะกดดันผู้นำอย่าง “บิ๊กตู่” ที่นิยมเสพสื่อโซเชียลมีเดีย เกาะติดข้อมูลในสังคมออนไลน์มากเป็นพิเศษ ทำให้เกิดภาวะสะท้านแฮชแท็ก ผวากระแสในโลกมโนโซเชียลฯ
ที่มาของอาการลนลาน เงอะๆงะๆ กล้าๆกลัวๆ
ฟอร์มบริหารจัดการรับมือวิกฤติโควิด-19 ที่เละเทะ โดนด่าเปิง
ไล่ตั้งแต่ด่านหน้า มาตรการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงจากต่างประเทศที่แรกเริ่มมอบให้เป็นหน้าที่ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข บัญชาการสถานการณ์แบบชิลๆมองเป็นแค่ไข้ธรรมดา
แต่พอเจอ “ผีน้อย” จากเกาหลีใต้ทะลักกลับมา เล่นเอาลนลาน ไปไม่เป็น
ลูกมั่วยังลามมาถึงคิวของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่ประกาศภายหลังศูนย์โควิด-19 ตัดสินใจให้ผู้เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงกลับภูมิลำเนาไปพักที่บ้านใครบ้านมัน โดยกักบริเวณตัวเองภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งปิดศูนย์กักตัวชั่วคราวทุกจุด
แต่สุดท้ายก็ต้องพลิกใหม่ ไม่ปิดศูนย์ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ รองรับพวกมีปัญหาโดนต่อต้านในพื้นที่
อารมณ์ชักเข้าชักออกยังมั่วมาถึงมาตรการยกเลิก Visa on Arrival และฟรีวีซ่า ประเทศกลุ่มเสี่ยง ที่ตอนแรกประกาศออกมา 18 ประเทศ แต่สุดท้ายก็ดึงกลับไปเปลี่ยนใหม่ เพราะบางประเทศติดเงื่อนไขสนธิสัญญา
ยกเลิกมั่วๆไม่ได้ อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
วันหนึ่งพูดอย่าง อีกวันพลิกใหม่ พาให้งงทั้งคนไทยและต่างชาติ
ไม่นับมาตรการทางเศรษฐกิจรับมือโควิด–19 ที่คิดกันมาอย่างรอบด้าน เช็กความเห็นทุกฝ่าย ทั้งนายสมคิด นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน
เป็นมาตรการประคองเศรษฐกิจไม่ให้ “ตกท้องช้าง” ดึงกลับลำบาก
แต่พอโดนตีปี๊บโห่ด่า ดีแต่แจกเงิน “บิ๊กตู่” ก็สั่งถอย เบรกแจกเงิน 2,000 บาท ประทังข้าวสารกรอกหม้อให้คนตกงาน กลุ่มหาเช้ากินค่ำที่ขาดรายได้จากวิกฤติไวรัส ไม่ให้อดตาย
ชักเข้าชักออก ฝ่ายปฏิบัติ “หัวหมุน” ไปกันไม่เป็น
ทั้งหมดทั้งปวง ลำพังแค่การบริหารสถานการณ์แบบไร้ทิศทาง มันก็ยังพอเข้าใจ ในภาวะฉุกเฉินที่ทั่วโลกไม่เคยพบเจอกันมาก่อน รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ประคองสถานการณ์ ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด–19 ในประเทศไทยได้ระดับนี้ ถือว่าดีระดับหนึ่ง
โดยเฉพาะหลังจากที่ “บิ๊กตู่” นั่งคุมเกมสั่งการด้วยตัวเอง
ภาพการบูรณาการระหว่างหน่วยงานเริ่มชัดเจนเป็นระบบมากขึ้น มีการบริหารผ่านหน่วยงานรัฐเป็นเครื่องมือสนับสนุนยุทธศาสตร์รับมือการระบาดไวรัสตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี
แบบที่นายอุตตม ในฐานะขุนคลังได้สั่งการให้องค์การสุราร่วมกับธนาคารออมสินและสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ผลิตแอลกอฮอล์บริสุทธิ์โดยมาตรฐานองค์การสุรา แจกให้แก่ประชาชนจำนวน 1 ล้านชิ้น รับได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ
ยุทธศาสตร์รับมือเหตุฉุกเฉินเริ่มเข้าลู่ ไปในทิศทางเดียวกัน
แต่จุดที่ประชาชนคนไทยให้อภัยกันไม่ได้จริงๆก็คือการบริหารจัดการวิกฤติที่สุดห่วย แถมยังแฝงไว้ด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน
หาผลประโยชน์บนความเป็นความตายของชาวบ้าน
กับปรากฏการณ์ขาดแคลนหน้ากากอนามัย ถึงขั้นที่โรงพยาบาลต่างๆออกมาร้องเรียนรัฐบาลขาดอุปกรณ์จำเป็นสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ นั่นก็ไม่ต้องพูดถึงประชาชนที่ไปต่อคิวหาซื้อหน้ากากอนามัยตามร้านขายยา แต่ไม่มีสินค้า เพราะขาดตลาด
เสียงก่นด่าแรงๆได้ยินไปถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ กับนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ผู้รับผิดชอบโดยตรง

ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน หน้ากากอนามัยหายไปไหน
แล้วสังคมก็ถึงจุดเดือดสุด เมื่อมีการแฉขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัยส่งขายต่างประเทศ ที่เกี่ยวโยงกับทีมงานของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์
ต้องปัดเผือกร้อน โยนกลอง โบ้ยกันไป สาวกันมา
ตามข้อมูลฉาวล่าสุด มีการแฉโยงถึง “ผู้หญิง” ระดับที่ปรึกษารัฐมนตรี มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับเงินส่วนต่างในการกักตุนหน้ากากอนามัยขายส่งต่างประเทศ นำกลับมาจำหน่ายในเมืองไทย
อะไรไม่เพี้ยนเท่ากับบานปลายกลายเป็นคดีความระหว่างหน่วยราชการ เมื่ออธิบดีกรมการค้าภายในแจ้งความดำเนินคดีกับโฆษกกรมศุลกากร โทษฐานแถลงข้อมูลผิดเรื่องการส่งออกหน้ากากอนามัย
ภาพออกมาถูกมองเป็นการ “แก้เกี้ยว” แทนที่จะไล่เบี้ยหาข้อเท็จจริง
สิ่งที่เกิดขึ้น เด็กอมมือยังรู้ มันไม่ใช่ปรากฏการณ์ปกติแน่นอน
คนไทยกำลังกลัวไวรัส ต้องมาถูกซ้ำด้วยขบวนการทุจริต
มันคืออาการ “ไข้ความมั่นใจ” ที่เป็นโรคแทรกไวรัสโควิด–19
ก่อนจะเน่ากันหมดทั้งรัฐบาล ผู้นำอย่าง “บิ๊กตู่” ต้องยกระดับการบริหารอย่างมียุทธศาสตร์ จิตต้องแข็ง ตบะต้องแกร่ง ไม่อ่อนไหวตามกระแส ไหลตามอารมณ์โซเชียลฯ มากกว่ายึดเหตุผล
ที่สำคัญต้องโชว์ลูกเด็ดขาด จัดการพวก “โกง” บนความเป็นความตายของชาวบ้าน
อย่าปล่อยให้สถานการณ์ไหลถึงจุดสังคมไม่เชื่อมั่นผู้นำรัฐบาล
มันเสี่ยงเข้าภาวะ “รัฐล้มเหลว”.
“ทีมการเมือง”