จ่อใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ
โดยอารมณ์ผู้คนในสังคมกำลัง “จิตตก” กับสถานการณ์ระบาดของไวรัส “โควิด-19” ที่ลุกลามไปทั่วโลก
ขณะที่ประเทศไทยก็เพิ่งหูตาตื่นกับ “ปู่–ย่า มหาภัย” คู่สามีภรรยาสูงอายุติดเชื้อไวรัสมรณะกลับจากไปทัวร์ประเทศญี่ปุ่น มีอาการไข้ ไอ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลย่านสายไหม กรุงเทพฯ
แต่ปกปิดไม่ยอมรับว่ากลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง
ผ่านไป 2 วัน กว่าจะยอมรับว่าไปทัวร์ญี่ปุ่นกลับมาเล่นเอาผวากันทั้งโรงพยาบาล ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล เจ้าหน้าที่กว่า 30 คนที่ทำการรักษาต้องอยู่ในข่ายเฝ้าระวัง ต้องโดนกักตัว 14 วัน
นั่นไม่เท่ากับอาการโควิด-19 ลามไปติดหลานวัย 8 ขวบ ที่ไปโรงเรียน ยังไม่รู้จะติดเพื่อนเพิ่มหรือไม่
เรียกว่า “ปั่นป่วน” หูตาเหลือกกันทั้งประเทศ
ประเภทของคนที่ไร้ความรับผิดชอบต่อสังคม ทำให้เสี่ยงต่อสถานการณ์แพร่ระบาด โชคดีที่ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรด้านสาธารณสุขของไทยเก่งระดับต้นๆของโลก
พยายามเฝ้าระวังจำกัดวงให้อยู่ในโซนระยะที่ 2 ผู้ติดเชื้อมีต้นกำเนิดจากต่างประเทศ
ยังไม่มีผู้ป่วย Super Spreader ไม่เกิดระบาดในประเทศไทย
แต่นั่นก็ทำให้เกิดภาวะหวาดผวา แม้แต่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ ปรากฏมีการเปิดข้อมูล ส.ส.หญิงคนหนึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่นและมีอาการป่วยเป็นไข้ ทำให้ ส.ส.หน้าตาตื่น ต้องร้องขอหน้ากากอนามัยกันจ้าละหวั่น
ก่อนยืนยันจากเจ้าตัวว่า มีใบรับรองแพทย์ ไม่ได้ป่วยโควิด-19
...
“ดาวสภา” ฝีปากกล้า ยังขาสั่นก็แล้วกัน
และในบรรยากาศหวาดกลัวไวรัสโควิด-19 จาก “ปู่-ย่า มหาภัย” ได้ลามไปกระทบตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำหุ้นตกทะรูดทะราด 70 กว่าจุดในวันเดียวกับที่มีข่าว หลุด 1,400 จุด ต่ำสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง
เศรษฐกิจสำลัก อาการติดเชื้อไวรัสโคโรนา
ตามภาพข่าวท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง สนามบินต่างจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีผู้ใช้บริการอย่างบางตา จากสถานการณ์นักท่องเที่ยวที่ลดน้อยลง
โดยเฉพาะทัวร์จีนที่หายไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ท่องเที่ยวทรุด เครื่องยนต์ตัวสุดท้ายดับ เป็นโจทย์โคตรหินของรัฐบาล ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้หารือกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ มือเศรษฐกิจ และนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เร่งปล่อยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ สู้วิกฤติโควิด–19
รีบดันเข้าที่ประชุม ครม.ทันทีหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จังหวะต่อเนื่องกับพระราชกฤษฎีกาประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณฯประจำปี 2563 น้ำหล่อเลี้ยงบ่อสุดท้ายมาทันเวลาจวนเจียน
ถ้าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยไม่แกร่งจริง ถึงจุดนี้เอาไม่อยู่แน่
เพราะที่แย่กว่าประเทศอื่น ก็ตรงเงื่อนไขสถานการณ์ทางการเมืองไทยฉุดวิกฤติให้ยิ่งหนักไปกันใหญ่
อย่างที่เห็น ไวรัสมรณะจ่อประตูบ้าน เศรษฐกิจติดเชื้อโควิด–19
นักการเมืองยังทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงในสภา ด่ากันโขมงโฉงเฉงในเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ
และถึงเวลาผลโหวตก็ออกมา ฝ่ายรัฐบาลผ่านฉลุย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้คะแนนไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 49 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ได้คะแนนไว้วางใจ 277 ไม่ไว้วางใจ 50 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ได้คะแนนไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 54 นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ได้คะแนนไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 55
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้คะแนนไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 54 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช. เกษตรและสหกรณ์ ได้คะแนนไว้วางใจ 269 ไม่ไว้วางใจ 55
ดูเผินๆเหมือนรัฐบาลได้รับชัยชนะ ฝ่ายค้านเสียงแตกเละเทะ
ถ้าไม่บังเอิญตัวเลขที่ออกมามันแฝงนัยให้แปลความปมลึกที่ซ่อนอยู่ในหมากเกมอำนาจ
เพราะเห็นชัดเลยว่าคะแนน “ไม่เป็นธรรมชาติ”
ว่ากันตามเหตุการณ์วุ่นวายในวันสุดท้าย จากการที่วิปรัฐบาลหักดิบ ชิงปิดอภิปราย เลือกตัดบทช่วงที่ พล.อ.ประวิตรจะโดนทีมพรรคอนาคตใหม่ชำแหละ
นั่นทำให้เห็นภาพการเล่นเกม ลาก “พี่ใหญ่” พ้นคมดาบ
แต่กลับกลายเป็นคนไม่โดนอภิปราย แทบไม่ได้ชี้แจงฝ่ายค้าน “บิ๊กป้อม” ได้คะแนนไว้วางใจมากสุด
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเบอร์หนึ่งคือ พล.อ.ประยุทธ์ที่โดนรุมถล่ม 2–3 วันติด
มันทำให้คิดลึกไปถึงการบริหารอำนาจเชิงซ้อนภายในรัฐบาล ใครแน่ “ตัวจริง” กุมดุลไว้ในกำมือ
ตามสภาพการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์คุมเกมฝ่ายบริหาร ขณะที่ พล.อ.ประวิตรกุมสภาพการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ รวมไปถึงการดีลกับพรรคร่วมรัฐบาล
คนหนึ่งถือสิทธิจัด ครม. อีกคนถือเข่งกล้วยเลี้ยงลิง
ถึงจุดที่ตัวเลขการโหวตไว้วางใจที่ออกมา ชัดเจนว่า “กล้วย” ทรงอิทธิพลเหนืออื่นใด
ที่สำคัญมันตอกย้ำเกม “ฮั้ว” กระแสรถกล้วยคว่ำหน้าบ้านทีมเชือดฝ่ายค้าน จนถึงอาการ “มวยล้ม” ในคิวอภิปราย แบบที่ ส.ส.ทีมอนาคตใหม่ ตั้งแง่สงสัยการเหยียบเท้ากันเล่น ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับวิปรัฐบาล ตัดตอนทีมอนาคตใหม่ไม่ให้อภิปราย พล.อ.ประวิตร
อิทธิฤทธิ์ของ “กล้วย” ทำฝ่ายค้านวงแตก ป่วนอภิปรายไม่ไว้วางใจ
จนทำให้นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.ตัวจี๊ดของทีมอนาคตใหม่ ต้องเปิดอภิปรายนอกห้องประชุมสภา แฉปมฉาวการเปิดมูลนิธิป่ารอยต่อฯเป็นวงดีลอำนาจ การเอื้อประโยชน์ให้คนใกล้ชิดได้งานของรัฐ ฯลฯ
กลายเป็นเป้าโฟกัสที่คนสนใจมากกว่าการอภิปรายในสภา
ตรงกันข้าม รัฐบาลโดนด่าใจแคบ แถมยังปิดปากทีมอนาคตใหม่ไม่ได้
อะไรก็ไม่เท่ากับว่า โดยแต้มของ พล.อ.ประวิตรที่ได้คะแนนไว้วางใจอย่างผิดธรรมชาติ มากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ 5 เสียง มันดันมาจากฝ่ายค้าน ค่ายเพื่อไทย 2 เสียง และค่ายเสรีรวมไทย 3 เสียง
หนีไม่พ้นภาพ “งูเห่า” กินกล้วย
วังวนน้ำเน่า การเมืองเรื่องเงินๆทองๆ ผลประโยชน์เหนือการทำหน้าที่ตัวแทนประชาชน
และโดยปรากฏการณ์มันยังท้าทายกองเชียร์อนาคตใหม่ที่ก่นด่าประจานลูกทีมของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” โดนดูดเข้าพรรคภูมิใจไทย จากปฏิบัติการเร็วทะลุนรกของ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข แนวร่วมสำคัญของ พล.อ.ประวิตร
แบบที่อัดคลิปเสียงประจานกันจะจะ ทุ่มทุนซื้อ ขายตัวกันโจ๋งครึ่ม
ตามรูปการณ์ แต้มของฝั่งรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นจึงไม่ได้เป็นเสียงที่มาจากประชาชนโดยตรง
พูดได้ว่า โกงเจตนารมณ์ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
ถึงจะโหวตชนะในสภา แต่ขาดความชอบธรรมนอกสภา
นี่ยังไม่พูดถึงในมุมถ้าเป็นไปตามที่มีการอ่านไต๋ล่วงหน้า การดึง “งูเห่า” เพื่อเติมเสียงในการต่อรองคิวปรับ ครม.ที่จะเกิดขึ้นจากผลพวงหลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
มันก็จะยิ่งกลายเป็น “หลุมดำ” ของรัฐบาล
ในสถานการณ์ที่บีบนายกฯไม่สามารถปรับ ครม.เพิ่มประสิทธิภาพในเชิงบริหารบ้านเมืองได้
เพราะติดเงื่อนไขเรื่องเสียงหนุนรัฐบาล

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในมุมท้ากระแส จังหวะสวนทางกับการเคลื่อนไหวของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่กำลังขยายวงลามไปทั่วประเทศจากเหตุที่มีชนวนหัวเชื้อจากการยุบพรรคอนาคตใหม่
เด็กรุ่นใหม่สำแดงพลังต่อต้านอำนาจเก่า
เพรียกหาการเมืองใหม่ด้วยพลังบริสุทธิ์
แม้จะยังถูกตั้งเครื่องหมายในมุมของความ “เดียงสา” ถูกทักถูกเตือน ระวังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ตามท้องเรื่องที่ “ธนาธร” รีบเคลมเป็นพลังของคนรุ่นใหม่ที่หนุนแนวทางการเปลี่ยนประเทศ
แต่ปฏิเสธไม่ได้ เสียงคนรุ่นใหม่ทำให้ผู้มีอำนาจต้องหันไปมอง
ว่ากันตามปรากฏการณ์ อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องพูดด้วยโทนเสียงนุ่มนวล ไม่โกรธเด็กๆที่เป็นเหมือนลูกหลาน แต่ตรงกันข้ามอยากทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เด็กเยาวชน
แต่เป็นห่วงที่มีการนำเรื่องหมิ่นสถาบันเข้าไปขับเคลื่อน
หากเพลี่ยงพล้ำ เด็กจะหมดอนาคตด้วยคดีอาญาต่างๆ ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก มีเหตุการณ์ปี 2516 และปี 2519 เป็นตัวอย่างและบทเรียนกับสังคมแล้ว
ผู้นำพยายามประคองอารมณ์ ไม่โหมเชื้อเพลิงราดกองไฟให้ลามทุ่ง
ตามเงื่อนไขสถานการณ์กองทัพไม่มีทางยอมให้หมิ่นสถาบัน ขณะที่นักศึกษาก็อุดมการณ์เต็มเปี่ยม
ถ้าปล่อยถึงจุดปะทะ เสี่ยงซ้ำรอยประวัติศาสตร์เลือด
ณ จุดนี้ยังมีเวลาในการ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” นำพลังคนรุ่นใหม่ไล่ล้างการเมืองเก่า
จุดประกายความหวังประเทศไทย
พล.อ.ประยุทธ์ต้องกล้าเปลี่ยนการเมืองน้ำเน่า อย่าทำเด็กหมดศรัทธา
คิดเพื่อประเทศอยู่รอดมาก่อนความปลอดภัยรัฐบาล.
"ทีมการเมือง"