การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย 2563 ในวันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ จะเป็นบททดสอบ ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน จะแสดงถึงความมีจิตสำนึก มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ปวงชนชาวไทยมากน้อยแค่ไหน ในการพิจารณาร่างกฎหมายที่มีความสำคัญและเร่งด่วนของประเทศและประชาชน จนถูกประณามไร้จิตสำนึกหรือไม่
เป็นการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ในวาระที่ 2 และวาระ 3 วาระสุดท้าย ก่อนที่จะส่งต่อให้วุฒิสภาต่อไป ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เลขาธิการ พรรคเพื่อไทยชี้แจงว่า เมื่อร่าง พ.ร.บ.กลับเข้าสู่สภาใหม่ พรรคฝ่ายค้านยังยืนยันความเห็นเดิมคืองดออกเสียง แต่ในวาระที่ 2 จะหารือว่าจะอภิปรายเท่าที่จำเป็นได้
เลขาธิการพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ถ้าไม่ได้ก็อาจอภิปรายกันใหม่ทั้งหมด น่าจะหมายถึงการกลับไปตั้งต้นนับหนึ่งกันใหม่ แต่ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา เห็นว่าไม่ควรพูดกันใหม่ น่าจะลงคะแนนกันได้เลย เพราะประเด็นการอภิปรายที่สำคัญมีบันทึกการประชุมอยู่ครบถ้วนแล้ว ต้องออกงบประมาณในยามที่ประเทศเคราะห์ซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น
ปัญหานี้เป็นอำนาจของประธานสภาผู้แทนราษฎรที่จะเป็นผู้ชี้ขาด แต่ชาวบ้านทั่วไปอาจเห็นว่าหมดเวลาที่จะเล่นเกมการเมืองกันแล้ว เพราะประเทศเสียเวลามานานเกินไป อภิปรายมาจนปากเปียก ปากแฉะแล้ว ฝ่ายค้านก็ไม่สามารถคว่ำหรือแก้ไขงบประมาณได้ เสียเวลาของประเทศเปล่า ไม่ว่าจะลงมติกี่หนฝ่ายค้านก็คือผู้แพ้
รัฐบาลไม่ใช่ “เสียงปริ่มน้ำ” อีกต่อไป แต่มีเสียงข้างมากค่อนข้างเด็ดขาด สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะพรรคฝ่ายค้าน พรรคอนาคตใหม่ ปฏิบัติการ “เตะหมู...” ไล่ 4 ส.ส.ไปเข้ากับรัฐบาล พรรคเศรษฐกิจใหม่ลอยแพผู้ก่อตั้งพรรค ส.ส.ทั้ง 5 คน ประกาศตัดสัมพันธ์ฝ่ายค้าน ขณะที่พรรคจิ๋วทั้งหลาย น่าจะมีกล้วยอย่างอิ่มหมีพีมัน
...
คงจำกันได้ ผลการสำรวจความเห็นประชาชนของโพลสำนักหนึ่งพบว่ามีกว่าร้อยละ 80 ประมาณว่า ส.ส.ที่เสียบบัตร ลงคะแนนแทนกัน ที่เกือบทำให้ร่างงบประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท พังทั้งฉบับว่า “ไร้จิตสำนึก” คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า ส.ส.ที่ลงคะแนนแทนกันกระทำการทุจริต แต่ไม่เป็นโมฆะ ให้โอกาสแก้ไขใหม่
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า ส.ส.ละเมิดหลักการพื้นฐานของการ เป็น ส.ส. นั่นก็คือไม่ยึดมั่นในคำปฏิญาณตนที่ว่า “ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาและปฏิบัติตาม ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ผู้ใดผิดคำปฏิญาณตนต้องให้มีอันเป็นไป”.