สังคมยึดหลักการ ฝ่าการเมืองร้อนยกเครดิตให้รัฐบาล ถือเป็นหน้าตาของคนไทย ทั้งประเทศกับมหกรรมประชุมสุดยอดอาเซียน (อาเซียนซัมมิต) ครั้งที่ 35 ผ่านพ้นไปแบบสวยงาม ท่ามกลางความสำเร็จทั้งในแง่ของความเป็นเจ้าภาพที่ได้รับเสียงชื่นชมจากแขกบ้านแขกเมืองลืมเรื่องฉาว ฉากม็อบล้มอาเซียนซัมมิตที่พัทยาไปสนิทรวมถึงเนื้องานที่สามารถผลักดันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) เพื่อนำไปสู่การลงนามร่วมในการประชุมอาเซียนที่ประเทศเวียดนามเป็นเจ้าภาพในช่วงต้นปีหน้าจีน ญี่ปุ่น รัสเซีย รวมทั้งสหรัฐอเมริกา ชาติมหาอำนาจต่างไม่ยอมพลาดตกเวทีบ่งบอกความโดดเด่นของประเทศไทยในภาวะต้องประคองดุลอำนาจโลกสถานการณ์แบบที่นักวิเคราะห์จากสถาบันสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดฟันธง ไทยคือผู้ได้รับประโยชน์ลำดับต้นๆ ของโลก จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนหมากกระดานนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โดย “มือดีล” ระดับอินเตอร์อย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เดินแต้มได้ตามยุทธศาสตร์เป็น “มด” ที่ “ราชสีห์” ต้องคบเป็นมิตร แชร์ประโยชน์ร่วมกันจากเวทีโลก ตัดฉากกลับมาที่เวทีการเมืองภายใน ตามจังหวะเปิดสภาสมัยสามัญทั่วไป และมีการนัด ประชุมสภาผู้แทนฯครั้งแรกในวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมาตามฟอร์มร้อนแรง พวกร้อนวิชาโชว์ “ปล่อยของ” กันแต่หัววันโดย “ตัวเรียกแขก” คนสำคัญ อย่างนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ใช้เวทีสภาผู้แทนราษฎรหารือขอเปลี่ยนเพลงชาติไทยเรียกเสียงวิจารณ์อื้ออึง ส่วนใหญ่หนักไปทางด่ามากกว่าชมอารมณ์สีสันของ “ส.ส.ปัดเศษทศนิยม” ออกแนวขำๆมากกว่าจะเป็นการเป็นงานช็อตสำคัญมันอยู่ตรงญัตติร้อนๆที่ถูกเข็นมาจ่อตั้งแต่ก่อนปิดสภาสมัยที่แล้ว นั่นคือการเดินหน้าตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รื้อกติกาฉบับ “ซือแป๋มีชัย ฤชุพันธุ์”สถานการณ์ร้อนแรงแซงหน้าญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลโฟกัสสื่อกระแสหลักจับจ้องไปที่เกมรื้อรัฐธรรมนูญที่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องรายวันโดยเฉพาะเหลี่ยมเขี้ยวของโคตรเซียนยี่ห้อประชาธิปัตย์ที่ชิงเดินหมาก “ตีกิน” จากไพ่แต้มสำคัญ ตามสถานะพรรคตัวแปร โยนชื่อ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจองแท่นประธานคณะกรรมาธิการฯ รื้อกติกาฉบับ “ซือแป๋มีชัย”ท่ามกลางเสียงขานรับจากหลายฝ่าย แม้แต่ฟากฝั่งพรรคเพื่อไทย ขุมข่าย “นายใหญ่” ดูไบ ก็ชูจั๊กกระแร้เชียร์ พร้อมเปิดทางคู่รักคู่แค้นอย่าง “อภิสิทธิ์” นั่งหัวโต๊ะประธานคณะกรรมาธิการฯขอแค่นำไปสู่เป้าหมาย ทำลาย “ยันต์กันทักษิณ”สงวนจุดต่าง แสวงจุดร่วม เพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ประสานเสียงโทนเดียวกันแต่กลายเป็นแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ ที่แตะเบรกชื่อ “อภิสิทธิ์” แทบหัวทิ่มโดยปฏิบัติการหักเหลี่ยมพรรคร่วมรัฐบาล พปชร.ไม่ปล่อยให้ประชาธิปัตย์ขี่คอซ้ำต่อเนื่องจากที่เสียเก้าอี้ประธานสภาให้นายชวน หลีกภัย ไปแบบเสียฟอร์มพรรคแกนนำเดาทางไม่ยาก งานนี้ “พลังประชารัฐ” ไม่เอาด้วยกับชื่อ “เดอะมาร์ค” ที่แสดงฤทธิ์เดช ป่วนสกัด “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเบิ้ลเก้าอี้นายกรัฐมนตรีถึงขั้นไขก๊อกลาออกจาก ส.ส. “ประชด” หักหน้ากันเลยตามรูปเกมถ้าปล่อยให้ “อภิสิทธิ์” นั่งหัวโต๊ะ มันเท่ากับประทับความชอบธรรมให้คนต้าน “บิ๊กตู่”แต่เรื่องของเรื่อง ตามเงื่อนไขตัวเลขในโควตาคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประกอบกับแนวโน้มฝ่ายค้านสนับสนุนบวกกับเสียงของประชาธิปัตย์โอกาส “อภิสิทธิ์” ก็ยังดูมีแนวโน้มสูงกว่าคนอื่นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ว่ากันตามเงื่อนไขสถานการณ์ โดยกระบวนการของคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันก็ยังไม่ได้สำคัญยิ่งยวด ถึงขั้นส่งผลได้เสียอะไรมากมายแค่ “คลำหากุญแจ” ปลดล็อกประตูเท่านั้นใครนั่งประธานคณะกรรมาธิการฯ ก็ไม่ได้มีอาญาสิทธิ์ชี้นิ้วสั่งซ้ายหันขวาหันแต่อย่างใดช็อตสำคัญมันอยู่ที่กระบวนการหลังจากนั้น เมื่อปลดล็อกกุญแจแล้วถึงจะนำไปสู่ขั้นตอนลงรายละเอียด จะรื้อ ทุบทิ้ง ก่อใหม่ ตรงไหนอย่างไร นั่นแหละถึงจะเป็นจังหวะเดิมพันซึ่งมันก็อย่างที่ผู้เก๋าเกมระดับ “ปรมาจารย์ชวน” ออกมาทักนิ่มๆ “อย่าหักด้ามพร้าด้วยเข่า”ถ้าตั้งธง ล้ม ลุย โละ สะท้อนอาการกระเหี้ยนกระหือรือชัดเจน เผลอๆเจอแรงต้านจากพลังเงียบ ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้รื้อรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านการลงประชามติเกมนี้ยังต้องว่ากันอีกยาว อาจต้องลากไปปลายเดือนพฤศจิกายนที่แน่ๆโดยกระบวนการอยู่ในระบบ การรื้อรัฐธรรมนูญยังขีดวงเล่นตามเกมในสภาแต่ที่ต้องจับตา ฝ่ายความมั่นคงจ้องกันไม่กะพริบ ตามเงื่อนไขสถานการณ์คดีร้อน ดีเดย์วันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิพากษากรณี “เสี่ยเอก” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถือหุ้นวี–ลัค มีเดีย ขัดรัฐธรรมนูญ ขาดคุณสมบัติการลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ล้อกับแฮชแท็ก #“อยู่ ไม่ เป็น” มุกการตลาดปั่นกระแสในเครือข่ายโซเชียลมีเดียในอารมณ์แบบที่ พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แพลมๆแคมเปญฮอต เพื่อแสดงจุดยืนค่ายสีส้ม ไม่สยบยอมต่อความไม่ถูกต้อง การถูก บังคับให้เชื่อฟังผู้มีอำนาจต่อเนื่องกับอาการอย่างที่ “ช่อ” น.ส.พรรณิการ์ วาณิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ทวีตข้อความเข้มๆแรงๆ อนาคตใหม่ไม่ถนัดเอาตัวรอด ไม่เชี่ยวชาญหมากล้อมเก็บแต้มการเมือง รู้แต่ว่าเราสร้างพรรคเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้คนไทยเท่าเทียมกัน พาประเทศไทยเท่าทันโลก ยุติรัฐประหารซ้ำซาก“ถ้าไม่ทำทั้งหมดนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีอนาคตใหม่ #อยู่ไม่เป็น”ทีมสีส้มเล่นเกมถนัด ปลุกระดมเครือข่ายในโซเชียลมีเดียลุ้นเดิมพันพลิกคว่ำพลิกหงาย คำตอบสุดท้าย ถ้าผลคดีหุ้นวี–ลัคฯ ออกมา “ขัดรัฐธรรมนูญ” ก็เท่ากับย้อนไปถึงต้นทาง “ธนาธร” ไม่มีสิทธิลงสมัครผู้แทนฯ ไม่ได้เป็น ส.ส.มาตั้งแต่แรก และโดยเอฟเฟกต์อาจลามไปถึงปมการรู้ตัวว่าขาดคุณสมบัติแล้วยังลงสมัคร ส.ส. ส่อลามถึงโทษ “แบน” ทางการเมืองอาฟเตอร์ช็อกต่อเนื่องไปถึงอีกหลายคดีของ “เสี่ยเอก” ที่จ่ออยู่ในสารบบเค้าลาง “ธนาธร” เสี่ยงจบเส้นทางในสภา และนั่นจะสั่นสะเทือนไปถึงชะตาของพรรคอนาคตใหม่พรรคสีส้ม มาไวเคลมไว ส่อกลายเป็นซากปรักหักพังโดยรูปเกมไม่มีทางอื่น นอกจากปั่นกระแสกองเชียร์ ปลุกมวลชนกดดัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและในจังหวะสั่นสะเทือนต่อเนื่อง ให้หลังจากคิวของ “เสี่ยเอก” นับไปอีก 5 วันก็จะถึงคิวของ “เสี่ยโอ๊ค” นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร จะต้องขึ้นศาลอาญาคดีทุจริตฯนัดฟังคำพิพากษาคดีฟันหัวคิวการทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยสถานการณ์กดดันวัดใจ ถ้าหวยออกมา “ผิด” ในศาลชั้นต้น นายพานทองแท้จะมีระยะเวลาสั้นๆ ในการลุ้นคำตัดสินชั้นศาล อุทธรณ์ที่เร็วกว่าศาลทั่วไปจาก “เสี่ยเอก” ถึง “เสี่ยโอ๊ค” อาฟเตอร์ช็อกต่อเนื่องคดีดังของ “ไพร่หมื่นล้าน” กับ “หัวแก้วหัวแหวนนายใหญ่” ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนวงการเมือง ไทย ในมุมของ “หัวเชื้อไฟ” ที่พร้อมนำไปสู่การก่อชนวนเกมมวลชน ปลุกม็อบสู้กงกรรมกงเกวียนประเทศไทย วนไม่พ้นวิกฤติวงจรอุบาทว์แต่อย่างไรก็ดี เท่าที่หยั่งกระแสได้ นอกจากเกมของโคตรเซียนการตลาด มุกถนัดของทีม “กุมารดิจิทัล” ที่ปั่นกระแสในโซเชียลมีเดีย ชิงพื้นที่สื่อกระแสหลักนาทีนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ “อิน” ตามกระแสซักเท่าไหร่ประกอบกับปรากฏการณ์ความพ่ายแพ้ของพรรคอนาคตใหม่ในสนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครปฐม เขต 5 สะท้อนว่า กระแสของพรรคสีส้มไม่ร้อนแรงเหมือนเลือกตั้งใหญ่ถึงจุดที่สังคมเริ่มรับรู้ หรือรับไม่ได้ ผวา “ความใหม่” จนน่ากลัวเหนืออื่นใด สังคมไทยพัฒนาไปสู่จุดของการยึด “หลักการ” มากกว่าอารมณ์ความชอบความเกลียดชังเมื่อสถานการณ์ยังอยู่ในโหมดสภา เดินหน้าไปได้ในระบบอีกทั้งรัฐบาลนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ก็นำทีมบริหารแบบไม่ได้หยุดพัก แก้ไขสถานการณ์ความเดือดร้อนของชาวบ้าน มีเนื้องานออกมาเป็นรูปธรรมสัมผัสได้ทั้งมุมของความสำเร็จในเวทีนานาชาติ การประคองเศรษฐกิจปากท้อง มาตรการชิมช้อปใช้ บัตรสวัสดิการประชารัฐ การเดินหน้าจ่ายเงินส่วนต่างโครงการประกันราคาข้าว ยางพารา สินค้าทางการเกษตร ฯลฯเงินถูกส่งตรงถึงมือชาวบ้าน ปากท้องยังพออยู่พอกินได้แลกกับเกมเสี่ยงเพื่อผลประโยชน์ของใครก็ไม่รู้ ลากบ้านเมืองเดิมพันไม่ทราบชะตากรรมอดีตเตือนใจ ประชาชนมีประสบการณ์ ยากต่อการถูกชี้นำม็อบจุดยังไงก็ไม่ติด."ทีมการเมือง"