ภัยแล้ง น้ำท่วม ฝุ่นพิษ สลับฉากเป็นปัญหาฉุกเฉินเร่งด่วนเฉพาะหน้า

สถานการณ์ประเทศไทยต้องเจอกับภัยธรรมชาติและผลพวงจากน้ำมือมนุษย์ที่ก่อมลภาวะสะสมจนถึงจุดที่เป็นอันตรายต่อชีวิตประจำวันของผู้คน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่

ฝุ่น PM2.5 ปกคลุมเมือง กลายเป็นภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ

เพิ่มภาระกดทับการบริหารของรัฐบาลภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ต้องเจอสารพันปัญหาถาโถม

ตามอารมณ์สังคมแบบไทยๆ มีอะไรก็โทษรัฐบาลไว้ก่อน

โดยเฉพาะพวกที่ได้รับความเดือดร้อน ด่าพาลไปถึงกึ๋นรัฐบาล อ่อนหัดเชิงบริหารจัดการ ลามเป็นแรงเสียดทานทางการเมือง ผสมโรงขบวนการจ้องเขย่าเรือเหล็กทีม “บิ๊กตู่”

ในสถานการณ์ที่ผู้นำกำลังเสียทรง หลงเหลี่ยมแนวร่วมฝ่ายต้าน จากอาการนอตหลุด บทพูดนอกสคริปต์พลาดเข้าเหลี่ยมขบวนการจ้องเตะตัดขา เอาไปขยายผลดิสเครดิตในโซเชียลมีเดีย

เป้าประจานให้ พล.อ.ประยุทธ์สูญเสียภาวะผู้นำ

อย่างไรก็ตาม ในจังหวะเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองจากเรื่องอารมณ์ส่วนตัวสไตล์ของ “บิ๊กตู่”

ดูภาพรวมเหมือน “เรือเหล็ก” กำลังเป๋ มันก็มีจุดที่กู้สถานการณ์ฝ่ายรัฐบาลคืนมาได้ทันท่วงที กับมิติการบริหารเชิงเศรษฐกิจที่ “จูนเครื่องยนต์” เข้าที่เข้าทางแล้ว แนวโน้มเริ่มเดินหน้าขับเคลื่อนเนื้องานได้ต่อเนื่องจากที่รัฐบาล “ประยุทธ์ ภาค 1” วางฐานไว้ สานต่อเมกะโปรเจกต์ในช่วงรัฐบาล “ประยุทธ์ ภาค 2”

เนื้องานขยับขับเคลื่อน สะท้อน “คลำเป้า” มาถูกทาง

...

ทั้งในด้านยุทธศาสตร์การวางพื้นฐานการพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศระยะยาว ที่ล่าสุดนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เป็นประธานและสักขีพยานการลงนามระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และเอกชนผู้ประมูลโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส 3 ช่วงที่ 1

เซ็นสัญญาเมกะโปรเจกต์แรก บูมการลงทุนโครงการอีอีซี

พร้อมกันนี้ นายสมคิดยังแสดงความมั่นใจโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จะเซ็นสัญญาระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับเอกชนยักษ์ใหญ่ผู้ประมูลได้ก่อนเดดไลน์วันที่ 15 ตุลาคมนี้

“เรือธงอีอีซี” เครื่องยนต์ติดทุกตัว

รอตัดริบบิ้น “โบแดง” รัฐบาล “ประยุทธ์” ตามรอยโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดยุครัฐบาล “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลกับเมืองไทย

ขณะที่อีกด้านก็เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ที่สร้างปรากฏการณ์ฮือฮามากกับโปรโมชัน “ชิมช้อปใช้” ภายใต้การกำกับของนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ที่เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน รับสิทธิเงิน 1,000 บาทจากรัฐบาลเพื่อจับจ่ายใช้สอยในการท่องเที่ยวภายในประเทศ

คนแห่เข้าร่วมโครงการจนล้น อดตาหลับขับตานอนสมัครผ่านแอปฯ จนขุนคลังต้องศึกษาการเปิดเฟส 2 เพิ่มจากเดิมไม่เกิน 10 ล้านคน วงเงินที่นำมาใช้ที่กำหนดไม่เกิน 19,000 ล้านบาท

“ชิมช้อปใช้” หมุนเศรษฐกิจได้แค่ไหน ต้องรอวัดตอนครบวงรอบ

แต่จุดสำคัญกว่านั้น ถ้าแกะรอยตามยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่นายสมคิดนำหน่วยงานหลัก ทั้งธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธ.ก.ส. เอสเอ็มอีแบงก์ กองทุนหมู่บ้าน การท่องเที่ยวฯ จัด “คิกออฟ” โครงการ “ประชารัฐสร้างไทย”

เน้นไปที่การปฏิรูปเกษตรกร ยกระดับเป็น “smart farmer” เพิ่มความก้าวหน้าทางวิทยาการให้ท้องถิ่น ติดตั้งระบบออนไลน์ร้านค้าชุมชน อุดหนุนการท่องเที่ยวเมืองรอง ฯลฯ

โดยทุกโครงการเน้นการให้ประชาชนโหลดแอปพลิเคชัน สแกนใบหน้า กรอกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ สมัครเข้ารับสิทธิการสนับสนุนของรัฐบาล เป็นรูปแบบใหม่ที่ประชาชนฐานรากไม่คุ้นมาก่อน

มันคือการสอนทักษะเบื้องต้นให้ชาวบ้านได้เรียนรู้เทคโนโลยี

เตรียมสังคมไทยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในโลกอนาคต พร้อมๆกับการจัดระบบ “BIG DATA” ที่หน่วยงานรัฐจะรวบรวมเป็นฐานข้อมูล เพื่อต่อไปจะได้ใช้ในการวางแผน ช่วยเหลือประชาชนได้ตรงจุด

คุ้มค่ากับเงินงบประมาณแผ่นดินเกิดประโยชน์สูงสุด

ปฏิเสธไม่ได้ ในเชิงเศรษฐกิจมันสะท้อนความเชี่ยวของคนชื่อ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”

และในเชิงการเมือง มันก็เป็นเรื่องที่มองย้อนกลับไปได้ในมุมของความบังเอิญ “สมคิด” ผู้จุดประกาย “ประชานิยม” สร้างพรรคไทยรักไทย มาวันนี้ “สมคิด” คนเดียวกัน สร้างยี่ห้อ “ประชารัฐ” มาปราบพรรคเพื่อไทย

ดัน “ประชารัฐ” ติดลมบน ผู้คนกำลังลืม “ประชานิยม”

มันก็ไม่แปลกที่จะได้เห็นอาการนั่งไม่ติดของมวยรุ่นใหญ่ค่าย “นายใหญ่” ดูไบ ทั้ง “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุงพรรคเพื่อไทย “เสี่ยอ๋อย” นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ รวมไปถึงดาวรุ่งฟอร์มสดค่ายสีส้มอย่าง “น้องช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่

ร่วมด้วยช่วยกันโห่โปรโมชัน “ชิมช้อปใช้” ของรัฐบาล โวยผู้ประกอบการเล็กไม่ได้ประโยชน์ เพราะเม็ดเงินไหลเข้ากระเป๋าเจ้าสัว ยกฟอร์มข่มให้คะแนนแค่ 2 จากเต็ม 10

เบิ้ลบลัฟกึ๋นรัฐบาล ถล่มฝีมือแก้เศรษฐกิจไม่เข้าตา

แต่ในมุมกลับกัน การที่ฝ่ายค้านก้นร้อนนั่งไม่ติด นั่นแหละที่บ่งบอกเข้าเป้าอย่างจัง ตามรูปการณ์ยุทธศาสตร์กู้เศรษฐกิจกำลังตั้งหลักได้ ขนาดเผชิญวิกฤติโคตรหินทั้งปัจจัยลบการเมืองภายในประเทศและสงครามการค้าสหรัฐอเมริกากับจีน อ่วมกันทั้งโลก

เอาเป็นว่า “จุดด้อย” เชิงเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ถูกบลัฟตีกินมาตลอด กำลังถูกกลบด้วยเนื้องานที่เป็นรูปธรรมทั้งมาตรการกระตุ้นฐานรากยี่ห้อ “ประชารัฐ” และสารพัดเมกะโปรเจกต์ “เรือธงอีอีซี”

แน่นอนถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปผู้คนจะไม่อินกับวาทกรรมฝ่ายค้าน อาการอุปาทานหมู่ปากท้อง

เพราะมันมีจุดเปรียบเทียบพวกที่ด่าแต่ปาก กับอีกฟากที่วิ่งสู้ฟัดลงมือทำ

ยิ่งเป็นอะไรที่ตอกย้ำ “มิติที่แตกต่าง” กับจังหวะที่รัฐบาลเดินหน้ากู้เศรษฐกิจ แต่ฝ่ายค้านลุยชิงธงการเมือง ตามอาการการเร่งเครื่องของพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาชาติ ที่เดินหน้าจุดกระแสแก้ไขรัฐธรรมนูญ

รื้อกติกาฉบับ “ซือแป๋” มีชัย ฤชุพันธุ์ ทำลาย “ยันต์กันทักษิณ”

โดยความพยายามเชื่อมโยง “คนละเรื่องเดียวกัน” อย่างที่คนฟังก็ยังงงๆ เศรษฐกิจไม่ดี ประชาชนมีปัญหาปากท้อง จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญ

ตามเหลี่ยม “รวมศูนย์” ดึงพลังแนวร่วมคนที่ไม่พอใจรัฐบาล

สถานการณ์การ “อุ่นเตา” เร้าชนวนเชื้อไฟ โดยเฉพาะที่ออกตัวร้อนแรงเลยก็คือทีมของ “ไพร่ห้าพันล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เดินสายกระตุ้นกองเชียร์ฝ่ายสนับสนุน

กระตุกพลังมวลชนนอกสภา

ล้อกับวาทกรรมผ่านปากของ “ช่อ พรรณิการ์” ซัด “รัฐธรรมนูญเฮงซวยทุกมาตรา”

นั่นหมายรวมถึงมาตราต้นๆของรัฐธรรมนูญที่มิบังควรแตะด้วย

ประกอบกับปรากฏการณ์ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4) แจ้งความดำเนินคดีกับแกนนำ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านและนักวิชาการ ตาม ป.อาญา มาตรา 116

สืบเนื่องจากการจัดเวทีเสวนา “พลวัตแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่” ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี โดยมีเนื้อหายุยงปลุกปั่น หมิ่นเหม่

มันเป็นอะไรที่สะท้อนระดับสถานการณ์ซีเรียส ฝ่ายความมั่นคงตามประกบติด แกะรอยนายธนาธร ทีมอนาคตใหม่และแนวร่วมฝ่ายค้าน สถานการณ์ต่อเนื่องกับเหตุม็อบคนเปรู เม็กซิโก บุกประท้วงผู้นำไทยที่สหรัฐฯ และไล่เลี่ยๆกัน สื่อก็มีการเปิดเผยเอกสารที่ “ธนาธร” จ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์สัญชาติมะกัน

ทั้งนี้ทั้งนั้น โดยสถานการณ์มันก็เชื่อมโยงกันพอดี กับฉากวันอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติกรณี พล.อ.ประยุทธ์นำ ครม.ถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ

โดยมีเอกสาร “ขบวนการทำลายประเทศ” ที่นายกฯวางไว้บนโต๊ะ

ปะติดปะต่อฉากสถานการณ์ สงครามรื้อรัฐธรรมนูญกำลังยกระดับความเข้มขึ้นทุกขณะ ตามจังหวะล้อกับเงื่อนไขคดีถือครองหุ้นสื่อของ “ธนาธร” ที่ส่อหลุด ส.ส.รวมไปถึงปมเงินกู้ 191 ล้าน ที่เสี่ยงทำให้พรรคอนาคตใหม่โดนยุบ ไม่นับพวก ส.ส.ที่ติดชนักคดีหุ้นทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล

ผลจากรัฐธรรมนูญที่วางกับดัก “นักธุรกิจการเมือง” จนฝ่าด่านลำบาก

ตามเกมมันจึงมีทางเดียวที่จะรอดขวากหนามไปได้ ต้องรื้อรัฐธรรมนูญ แก้กติกากันใหม่

ในอารมณ์เหยียบคันเร่งมิดไมล์ ปิดไฟหน้า แค่ พล.อ.ประยุทธ์บอกปัดไม่เป็นคนถือธงนำแก้รัฐธรรมนูญ ไม่เอาโซ่ผูกคอตัวเอง ยังเป็นเหลี่ยมให้ฝ่ายค้านทั้ง “เจ๊หน่อย” ทั้ง “ธนาธร” ดาหน้าขย่มไม่ยั้ง

อัดผู้นำตั้งท่าลากยาวสืบทอดอำนาจบนกติกาที่เอาเปรียบคู่แข่ง

เร่งหัวเชื้อโหมไฟ บรรยากาศเร้าเกมนอกสภาส่อเล่นกันแรง ทั้งๆที่ทุกฝ่ายเรียกร้องการเลือกตั้ง จนมาถึงวันนี้มีสภาผู้แทนราษฎร มีเวทีให้สู้กันตามกติกาประชาธิปไตย

อีกทั้งเกมรื้อรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านก็ยังไม่ได้จนกระดาน

แม้แต่ฝั่งรัฐบาลเองก็มีคนของประชาธิปัตย์ที่ถือธงรื้อรัฐธรรมนูญพร้อมตีคู่เป็นแนวร่วม

ดังนั้น กระบวนการต่างๆมันจึงควรอยู่ในวิถีทางของสภา

อย่าลากออกมาป่วนบนถนน

คนไทยเบื่อม็อบ เอียนเต็มทีแล้ว.

“ทีมการเมือง”