อาศัยลีลา “ตลกหลวง” ผ่อนบรรยากาศตึงเครียดไปพลางๆ
อารมณ์แบบที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม นำคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาผู้พิการทางสายตาที่มูลนิธิคนตาบอดแห่งประเทศไทยฯ โดยมีการร้องเพลง “ใครหนอ” และ “ค้างคาวกินกล้วย” พร้อมร่วมวง “อังกะลุง” กับเด็กๆพิการทางสายตา
ตามฟอร์มหันมายิงมุกกับ ครม.บอกสมัยก่อนเล่นดนตรี ร้องแต่เพลง “ธรณีกรรแสง”
แกล้งอำให้คนดูครื้นเครง สลับกับอาการเคร่งขรึม แบบที่วันก่อนอยู่ๆ “บิ๊กตู่” ก็พูดขึ้นมาลอยๆให้ขบปริศนา “ใครจะเลื่อยขาเก้าอี้ก็ปล่อยเขาไป”
กระตุกต่อมสงสัย นักข่าวไล่ตามแกะรอยกันยกใหญ่
ใครเลื่อยขาเก้าอี้ผู้นำ ฝ่ายตรงข้ามหรือพวกเดียวกันเอง
เดาทาง “นายกฯลุงตู่” อยู่ในอาการหวาดระแวงจริงๆ หรือแกล้งอำเพื่อเบนประเด็น
แต่ที่แน่ๆ ล่าสุดชัดเจนขึ้นอีกระดับ กับการที่ “บิ๊กตู่” ระบุถึงกรณีที่ไม่ไปตอบพรรคฝ่ายค้านตั้งกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรีในสภาผู้แทนราษฎร เรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ
“การตอบกระทู้ไม่ใช่ไม่ให้เกียรติ แต่เรื่องเข้ากระบวนการแล้ว ขณะเรื่องอยู่ที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งมีขั้นตอนและกระบวนการตามกฎหมายที่รัฐบาลต้องปฏิบัติต่อไป”
แปลไทยเป็นไปก็คือ รอคำตอบจากองค์กรอิสระก่อน
ตามกระบวนการขั้นตอน แนวโน้มสูงที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ซึ่งนั่นจะถือเป็นไกด์ไลน์ การชี้ “ทางออก” ให้ “บิ๊กตู่” และรัฐบาลทำตามกระบวนการ อาจจะเดินหน้าบริหารต่อหรือนำ ครม.ถวายสัตย์ฯใหม่
...
ไม่ใช่ “บิ๊กตู่” ถือวิสาสะ คิดเองเออเองให้เป็นที่ครหา
เพราะโดยปมปัญหามันอ่อนไหว สถานการณ์ลึกซึ้งเกินกว่าการที่นายกรัฐมนตรีแอ่นอกประกาศ “ขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”
ที่หวาดเสียวก็คือ การต้องกลับไปเริ่มนับหนึ่งกันใหม่
ตามสภาพการณ์ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านตั้งธงไล่ต้อนในสภาฯ ตามตื๊อตั้งกระทู้จี้เค้นคอให้ตอบแบบไม่ลดละ และส่อยกระดับไล่บี้กันถึงขั้นเปิดอภิปรายทั่วไปนายกฯโดยไม่มีการลงมติ
เป้าหมายประทับ “ตำหนิ” ประจานทีม “นายกฯลุงตู่”
เรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่ดันเป็นเรื่องใหญ่
ถือเป็นห้วงดวงเมืองโคจร “ตกร่อง” ต้องสะดุด “เคราะห์” กันทั้งประเทศ
ยิ่งบังเอิญเหตุมาเกิดในห้วง “สึนามิ” เศรษฐกิจกำลังจ่อถล่มโลก สารพัดปมร้อน ทั้งสงครามการค้าสหรัฐอเมริกากับจีน ซ้ำด้วยเหตุประท้วงใหญ่ในฮ่องกง
สงครามโลกที่แปรเปลี่ยนจากอาวุธเป็นการรบทางเศรษฐกิจ
สถานการณ์ซีเรียสในระดับที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ต้องสั่งการผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์รายงานสภาพการณ์ตลาดหุ้นแบบเกาะติด ไม่คลาดสายตา
ท่ามกลางภาวะผันผวน หุ้นแกว่งทั่วโลก
เศรษฐกิจอ่วมทุกประเทศ แต่เมืองไทยหนักกว่าตรงที่วิกฤติความขัดแย้งยังคาราคาซัง
นักการเมืองพันธุ์เก่าพันธุ์ใหม่ยังล่อกันเละตุ้มเป๊ะ
ลำพังศึกนอกกับพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ฟัดกันตุ้บตั้บๆ ยังมีศึกในฝ่ายรัฐบาลด้วยกันเองที่กระเพื่อมไม่หยุดมาตั้งแต่รายการฟัดกันแย่งชามข้าวรัฐมนตรี ต่อเนื่องมาถึงรุมทึ้งเก้าอี้เทกระโถน
พรรค “ต่ำเอี่ยว” ตัวเดียวเสียงเดียวออกฤทธิ์กันปั่นป่วน
ภาวะธรรมชาติของรัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่เกือบ 20 พรรค ประกอบกับแกนนำอย่างค่ายพลังประชารัฐก็เต็มไปด้วยขาใหญ่ที่จ้องเบียดแซงกันขึ้นแถวหน้า
และล่าสุดก็ถือว่าชัดเจนแล้ว แนวโน้มอย่างที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ แบะท่ายอมรับ เพิ่งรับหน้าที่ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ หลังมีคนมาบอกเมื่อช่วงเย็นวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมาว่าพรรคเสนอชื่อตัวเอง
“จัดฉาก” ส่งเกี้ยวมาหาม ให้ดูเป็นทางการพอเป็นพิธี
เพราะมันเป็นอะไรที่ปักธงกันไว้แล้วตั้งแต่ “พี่ใหญ่” แวบไปร่วมวงสัมมนาพรรคพลังประชารัฐที่วังน้ำเขียว โคราช และแบบที่จับไต๋ได้ทันทีที่รับเทียบเชิญ “บิ๊กป้อม” ก็ประกาศ “มาสเตอร์แพลน” แนวทางการพัฒนาพรรคพลังประชารัฐ อยากให้ ส.ส.มีความรักความสามัคคีกัน ทำงานร่วมกันมีความคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ถึงจุด “พี่ใหญ่” ถอดยูนิฟอร์ม ใส่สูท “นักการเมือง” เต็มขั้น
“คลุกฝุ่น” เสือ สิงห์ กระทิง แรด สั่งซ้ายหันขวาหันในคอก.
ทีมข่าวการเมือง