ยังวนอยู่ที่เก่า...
ก็เรื่องวิธีคิดคำนวณ ส.ส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับคำร้องให้วินิจฉัยเรื่องนี้ เนื่องจากเห็นว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.ที่จะตัดสินเองได้
นึกว่าแค่นี้จะจบคือ กกต.ปฏิบัติตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้
แต่ปรากฏว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินซึ่งได้รับคำร้องด้วยเช่นกัน ได้มีมติเอกฉันท์ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน
เมื่อเหตุเป็นเช่นนี้ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการใน 2 ส่วน คือ รอผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และ กกต.ต้องตัดสินใจเอง หากผลการวินิจฉัยยังไม่ออกมา
กกต.ระบุว่า จะเลือกเอาวิธีการของ กกต.ที่เสนอร่วมกับ กรธ.และมั่นใจว่าจะทันต่อการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พ.ค.62
ปัญหาก็คือ ถ้าผลที่ออกมาไม่ตรงกันจะเกิดอะไรขึ้น?
เท่าที่มีข่าวออกมาระบุว่า สำนักงาน กกต.จะเสนอวิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อต่อ กกต.ชุดใหญ่ทั้งหมด 3 วิธีการ
1 ใช้วิธีการคำนวณให้พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (ประมาณ 71,057 คะแนน) ต่อ ส.ส. 1 คน จำนวน 27 พรรค
2 คิดคำนวณตามข้อเสนอของนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ซึ่งคำนวณออกมาได้เพียง 16 พรรค
3 วิธีคิดคำนวณของนายโคทม อารียา อดีต กกต. เช่นกันจะได้จำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจำนวน 16 พรรค
กกต.น่าจะเลือกวิธีการที่ 1 มากกว่า เพราะรับฟังคำยืนยันจาก กรธ. ซึ่งให้ข้อมูลและชี้ชัดว่าสามารถกระทำได้
เพราะแม้จะได้คะแนนต่ำกว่า 71,057 เสียงก็ตาม อ้างเหตุผลว่าทุกคะแนนมีค่า เมื่อยอดทั้งหมดเกินจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 150 ส.ส. ก็ต้องมาจัดลำดับกันใหม่ไล่คะแนนเรียงกันไปจนครบจำนวน
ตั้งแต่พรรคที่ได้คะแนนส่วนที่เหลือจากมากไปหาน้อย
...
ที่สำคัญก็คือ รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพียงวิธีเดียวไม่มีแนวคิดไปทางอื่น
ว่าไปแล้วการคำนวณสูตรปาร์ตี้ลิสต์จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ค่อนข้างจะคิดง่ายๆ เพราะมีการแยกบัตรเลือกตั้งจากกันชัดเจนคือ เลือกบุคคลและพรรค
ได้คะแนนเท่าใดก็เอามานับรวมกันเป็น ส.ส.ของพรรคการเมืองนั้น
แต่เมื่อมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิดคำนวณแบบใหม่มันก็เลยยุ่งไม่น้อย และยิ่งเมืองไทยพวก “หัวหมอ” เยอะทำให้เกิดการตีความไปต่างๆนานา อ้างว่าต้องคิดแบบเขาจึงไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
หากคิดเป็นอื่นถือว่าผิดหมด...
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ มีการใช้วาทกรรมการเมืองระบุว่า แนวคิดของ กกต.นั้นเพื่อช่วยขั้วการเมืองหนึ่งให้ได้เสียงมากพอตั้งรัฐบาลได้ เพราะสามารถดึงพรรคที่ได้ ส.ส. 1 คน มาร่วมสนับสนุนตั้งรัฐบาลได้ แต่งานนี้ กกต.เลยโดนทั้งขึ้นทั้งล่องเหนื่อยอีกแน่
การทำงานของ กกต.อย่างที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันนั้น เนื่องมาจากการทำงานของ กกต.เองถูกกดดันทางการเมืองอีกด้วย
จากการนับคะแนนใหม่ที่เขต 1 นครปฐม ก็มีปัญหา เพราะเดิม พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร ว่าที่ ส.ส.ประชาธิปัตย์ แต่มีคำร้องให้นับคะแนนใหม่ ปรากฏว่า พ.ท.สินธพแพ้ในเบื้องต้น
น.ส.สาวิกา ลิมปะสุวัณณะ จากพรรคอนาคตใหม่ ชนะโดย กกต.นครปฐม ประกาศผล แต่สุดท้ายเลขาธิการ กกต.ประกาศอย่างเป็นทางการประชาธิปัตย์ชนะเพียง 4 คะแนน
ผีซ้ำด้ำพลอยเพราะทำพลาดเองแท้ๆ.
“สายล่อฟ้า”