“ปัดเศษ” ประเคนพรรคเล็ก ‘ตู่’ วอนให้อโหสิกันและกัน สหรัฐ-อียูโต้ไปทุกคดีที่สน

กกต.จนมุม มีมติเอกฉันท์ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ยอมรับไม่มีวิธีการคิด ขอให้ชี้ขาดประเคนเก้าอี้พรรคเล็กที่ได้คะแนนเสียงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย พท.กระทุ้ง “อุตตม” รู้อะไรดีถึงมั่นใจตั้งรัฐบาลก่อน กกต.ประกาศผล “ชูศักดิ์” ไล่ กกต.กลับไปดูคู่มือตัวเอง “พิชัย” ซัดขืนยังไม่เลิกนิสัยเผด็จการต่างชาติหนีแน่ “เทพไท” แนะทุกขั้วถอยคนละก้าว ชงตั้งรัฐบาลแห่งชาติ พปชร. ดี๊ด๊า “ป๋า” ออกหน้าการันตี รปช.จี้สอบ “ธนาธร” ดึงทูตจุ้นจ้าน สหรัฐฯตอกบัวแก้วรู้ธรรมเนียมการทูตดี เข้าสังเกตการณ์คดีที่คนทั่วโลกสนใจ เป็นมาตรฐานปกติ-ได้ข้อมูลตรง อียูย้ำเป็นมาตรฐานการทูตทั่วโลก ไม่มีโน้มเอียงฝ่ายใด “บิ๊กตู่” ซึ้ง ครม.-ขรก.ที่ ล่มหัวจมท้ายกันมา ให้อโหสิกันวันสงกรานต์

หลังจากปล่อยให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ ถึงความไม่ชัดเจนในหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคการเมืองจะพึงมีได้มาพักใหญ่ ล่าสุดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยแล้ว

“บิ๊กตู่” ซึ้งทุกคนที่ล่มหัวจมท้าย

เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 11 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวกับคณะรัฐมนตรี และผู้มาร่วมอวยพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2562 ว่า ขอบคุณทุกคน ถือเป็นครอบครัวเดียวกัน คือครอบครัวของรัฐบาลที่มีหน้าที่ดูแลประชาชนทุกอาชีพ ขอบคุณในการทำงาน ที่ผ่านมาไม่ได้คิดว่าเป็นผู้บังคับบัญชาของท่าน แต่รู้สึกว่าเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง มาทำงานร่วมกัน ดังที่ได้กล่าวกับประธานองคมนตรีว่าเราเกิดมาเพื่อทำให้ทุกคน และประเทศชาติมีความสุขแข็งแรงยั่งยืน “ที่ผ่านมาผมสบายใจที่ได้ทำงานกับทุกท่าน ผมเชื่อมั่นท่าน ผมรู้หน้าและรู้ใจพวกท่านทั้งหมด อาจลงรายละเอียดไปบ้างในหลายเรื่อง เช่น การสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผมเชื่อมั่นในทุกท่านว่าจะทำให้ประเทศชาติเดินไปสู่วิสัยทัศน์มั่นคงมั่งคั่งยั่งยืนได้ในอนาคต”

...

ขออโหสิถ้าทำอะไรก้าวล่วง

นายกฯกล่าวอีกว่า สำคัญคือต้องทำให้คนเข้าใจและมีหลักคิดพัฒนาประเทศ สิ่งสำคัญคือกำลังใจ และความเชื่อมั่นศรัทธา ว่าสิ่งที่เราทำมันต้องดีกว่าเดิมไม่แย่ไปกว่าเดิม ส่วนจะดีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน จะทำเพื่อทุกคน ประชาชนอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา สิ่งใดที่ท่านได้ให้มา ขอให้สนองตอบทุกท่านและครอบครัว ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว สิ่งใด ที่ตนได้ก้าวล่วงไปหงุดหงิดบ้างอะไรบ้าง ขออโหสิแล้วกัน หวังว่าทุกคนคงเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เรื่องที่ทำให้ตนมีความสุขเพราะได้ทำงานร่วมกับทุกคน ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง และขอให้พรต่างๆไปสู่ประชาชนที่เราต้องดูแลทั้ง 70 ล้านคน ถึงไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเราพยายามกันต่อไป

ต้องไปสู่ประชาธิปไตยนิ่งสงบ

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า สงกรานต์ ปีนี้ถือว่ามีความพิเศษ เพราะอยู่ในช่วงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ถือเป็นพิธีมหามงคลของคนไทย อยากให้สืบสานประเพณีไทยอันดีงามไว้ให้ได้นานที่สุด สิ่งที่เป็นห่วงคือความปลอดภัยประชาชน ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง รวมถึงการจราจร สั่งการให้ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้ได้มากที่สุด 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลทำไปมาก เน้นที่ภาคอีสานและเหนือ เช่นเรื่องน้ำท่า แต่ทุกคนต้องร่วมมือกันเดินหน้าไปสู่การเป็นประชาธิปไตยด้วยความเรียบร้อย ประเทศไทยจะได้รับความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ อย่าลืมว่าถ้าเรายิ่งทำให้ปัญหามีมากขึ้น จะมีผลต่อเศรษฐกิจ เราเป็นห่วงผู้มีรายได้น้อยทั้งชาวนา ชาวสวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ตนพร้อมสั่งการให้แก้ไขและสร้างความเชื่อมั่น รัฐบาลหน้าทำสิ่งเหล่านี้ต่อไป ประเทศ ไทยก็จะมีอนาคต

ให้อโหสิกันในวันสงกรานต์

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า หากไม่ทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย บวกกับการค้าการลงทุนมีปัญหา เราจะหาเงินไม่ได้ ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกันลดความขัดแย้ง และการกระทบกระทั่งให้ได้มากที่สุด ขอให้อโหสิซึ่งกันและกันในช่วงสงกรานต์นี้ ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายก็ให้กระบวนการทำงานไป ใครมีหน้าที่อย่างไรก็ทำอย่างนั้น เชื่อมั่นว่าบ้านเมืองจะต้องสงบเรียบร้อยด้วยบารมีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระสยามเทวาธิราช รวมถึงใจของพวกเราทุกคน ที่ต้องสร้างแรงศรัทธาให้ได้ว่าเราจะทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยได้อย่างไร เป็นสิ่งสำคัญกว่าอย่างอื่น เมื่อบ้านเมืองสงบอย่างอื่นก็จะตามมาเอง

ติงสื่อพาดหัวตัวเล็กๆหน่อย

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ขอให้เกิดความรักความสามัคคีเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในเวลานี้ จึงขออวยพรให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกอาชีพ ทุกรายได้ ทุกเพศ ทุกวัย รวมไปถึงสื่อมวลชน ให้ช่วยกันเดินหน้าประเทศไทยในปี 2562 นี้ สิ่งใดที่ทุกคนคาดหวังขอให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการเจริญเติบโตก้าวหน้าในอาชีพการงาน เงินเดือนขึ้น ส่วนสื่อก็ขอให้ขายหนังสือพิมพ์ให้ได้มากขึ้น แต่ขอให้พาดหัวข่าวตัวเล็กๆลงหน่อย เรื่องอะไรที่มีปัญหาขออย่าพาดหัวข่าว เพราะต่างชาติจะมองว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งถือว่าอันตราย “ยูเก็ทวอทยูเพลย์ ยูเก็ทวอทยูดู” ขอให้ช่วยกัน เพราะนายกฯทำคนเดียวไม่ไหว

กกต.ส่งศาล รนธ.ตีความสูตรพิสดาร

วันเดียวกัน เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.เป็นประธานการประชุม โดยมีกรรมการ กกต.เข้าร่วมพร้อมเพรียง ภายหลังการประชุมสำนักงาน กกต.ได้เผยแพร่เอกสารข่าว ระบุว่า กกต.มีมติเอกฉันท์ส่งเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณเพื่อจัดสรรจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคการเมืองจะพึงมีได้ ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ที่ประชุมได้พิจารณาตามที่สำนักงาน กกต.เสนอผลการคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณตามแนวทางของ กรธ. ที่จัดทำวิธีการคำนวณ ปรากฏว่าการคำนวณดังกล่าวมีหลายพรรคการเมืองมีจำนวน ส.ส.ที่จะพึงมีได้ในเบื้องต้นต่ำกว่า 1 คน แต่เมื่อคำนวณต่อไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 128 (5) พรรคการเมืองที่จะพึงมี ส.ส.เบื้องต้นต่ำกว่า 1 คน สามารถได้รับจัดสรรจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน

จนแต้มรับไม่มีวิธีคิดคำนวณ

เอกสารข่าวยังระบุอีกว่า กกต.พิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว เห็นว่าแม้การคำนวณหาจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ที่สำนักงาน กกต.ดำเนินการมา สามารถจัดสรรจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อได้ครบ 150 คน สอดคล้องกับความเห็นของกรธ.ก็ตาม แต่การคำนวณตามมาตรา 128 (5) ดังกล่าวมีความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 91 (2) และ (4) เนื่องจากมีผลให้พรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส.จะพึงมีได้ตาม (2) ต่ำกว่า 1 คน สามารถได้รับการจัดสรรให้มี ส.ส.บัญชีรายชื่อได้ 1 คน จึงอาจทำให้บางพรรคมีจำนวน ส.ส.เกินกว่าจำนวนที่จะพึงมีได้ ซึ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 (4) แต่หากคำนวณตามมาตรา 91 จะทำให้ไม่สามารถจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อได้ครบ 150 คน อีกทั้งหากไม่นำจำนวน ส.ส.ที่จะพึงมีได้ในเบื้องต้นของพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ที่จะพึงมีได้ต่ำกว่า 1 คนไปคิดคำนวณตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 128 (5) ก็ไม่สามารถคิดคำนวณจัดสรรให้ได้ครบ 150 คนเช่นกัน จึงไม่มีวิธีการใดที่จะนำมาคิดคำนวณให้มีจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อได้จำนวน 150 คนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 83 ได้ ทั้งนี้ การคำนวณตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 วรรคสาม ผลของการคำนวณไม่สามารถนำไปประกาศผลการเลือกตั้งได้ เพราะอาจขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 91 (4)

ขอศาล รธน.ชี้ขาดประเคนพรรคเล็ก

เอกสารข่าวระบุว่า จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดว่า กกต.จะคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 วรรคสาม ประกอบ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 128 ที่สามารถคำนวณให้ได้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อครบ 150 คน แต่การคิดคำนวณดังกล่าวอาจทำให้พรรคการเมืองบางพรรคมีจำนวน ส.ส.ที่จะพึงมีได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยต่อ 1 คน ได้จำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน กกต.จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ และการดำเนินการดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 91 หรือไม่ ทั้งนี้ ได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อยในวันเดียวกันนี้

พท.กระทุ้งใส่ “อุตตม” รู้อะไรดี

ขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระบุมีงานต้องทำมาก เช่น การจัดตั้งรัฐบาลนั้น วันนี้ทุกฝ่ายกำลังหลงประเด็นเพราะการจัดตั้งรัฐบาลเป็นเรื่องที่ไกลออกไป ต้องรอให้ประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการก่อน การลงสัตยาบันของ 7 พรรคการเมืองก่อนหน้านี้ เป็นการยืนยันจุดยืนไม่ต้องการให้สืบทอดอำนาจ แม้กฎหมายจะให้เวลา กกต.ถึงวันที่ 9 พ.ค. แต่ทุกภาคส่วนในสังคมเรียกร้องให้ กกต.เปิดข้อมูลดิบ และวิธีคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อออกมา ซึ่งเป็นวิสัยที่ทำได้ และเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายที่จะได้เห็นความชัดเจน ไม่ใช่ได้ยินแต่ข่าวลือเหมือนทุกวันนี้ ทำให้ทุกอย่างอึมครึมไม่เป็นผลดีกับใคร และเมื่อวันที่ 10 เม.ย. พรรคเพื่อไทยทำหนังสือไปยัง กกต.แล้ว เขาจะทำอย่างไรก็ต้องบอกมา ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐบอกกำลังคุยจัดตั้งรัฐบาลนั้น หรือเขารู้อะไรมาหรืออย่างไร

ไล่ กกต.กลับไปดูคู่มือตัวเอง

นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการตรวจสอบคู่มือการเลือกตั้งที่ กกต.นำแจกประชาชน พบว่าไม่มีอะไรยุ่งยากสลับซับซ้อน ยึดตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่ชัดเจนคือ ส.ส.บัญชีรายชื่อต้องจัดสรรได้ไม่เกินจำนวน ส.ส.พึงมี นั่นหมายความว่าเกิน ส.ส.พึงมีไม่ได้ ซึ่งสอดคล้องกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จึงอยากฝาก กกต.ให้กลับไปอ่านคู่มือของตัวเองให้ดี สำหรับปัญหาการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ที่ปรากฏว่าศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนผู้สมัครของบางพรรค เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม เช่น การถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์นั้น ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ฝ่ายกฎหมายให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก มีการตรวจสอบไล่กันเป็นรายข้อตามมาตราต่างๆของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และยังส่งชื่อไปตรวจสอบตามหน่วยงานต่างๆ เช่น ทะเบียนประวัติอาชญากรรม เรื่องล้มละลาย รวมถึงกรมทะเบียนการค้า เราตรวจสอบถึงขั้นสมัครแล้วก็มี พบก็เปลี่ยนตัว คิดว่าไม่น่ามีปัญหาในเรื่องนี้

อัยการเลื่อนฟังสั่งคดี “พิชัย”

อีกเรื่อง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า ตามที่สำนักงานอัยการนัดหมายให้เข้าพบในวันที่ 11 เม.ย. เพื่อฟังคำสั่ง ได้มอบอำนาจนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความ เข้าพบแทน โดยสำนักงานอัยการได้เลื่อนการฟังคำสั่งไปเป็นวันที่ 22 พ.ค. อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาล และ คสช. พยายามดำเนินคดีกับผู้ที่เห็นต่าง และนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ทั้งนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายปิยะบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค และคนอื่นๆ ทั้งที่การเลือกตั้งเพิ่งเสร็จสิ้นไป แสดงให้เห็นว่ารัฐบาล และ คสช. ยังไม่เลิกนิสัยเผด็จการ แม้จะเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยแล้ว ถึงขนาดตำหนิและเรียกนักการทูตจากหลายประเทศที่ร่วมสังเกตการณ์เข้าพบ ยิ่งแสดงความเป็นเผด็จการอย่างเห็นได้ชัด แทนที่รัฐบาลจะสำนึกกลับแสดงความไม่พอใจ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมกระทรวงการคลังถึงออกมายอมรับ และแสดงความกังวลว่านักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุน

ไม่เลิกนิสัยเผด็จการต่างชาติหนีแน่

นายพิชัยกล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติได้ลดการลงทุนในไทยมาตลอด 5 ปี หลังการปฏิวัติรัฐประหาร โดยย้ายไปประเทศเพื่อนบ้าน หาก พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯอีก จะยิ่งหายไปเรื่อยๆ มีแต่ราคาคุยจากทีมเศรษฐกิจแต่ไม่มีตัวเลขยืนยัน เพราะตัวเลขแท้จริงต่ำกว่าสมัยก่อนเกิดปฏิวัติมาก ขอเรียกร้องว่าเมื่อเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว ขบวนการผิดปกติต่างๆที่เกิดขึ้นในสมัยเผด็จการ ควรต้องยกเลิกไป และการทุจริตคอร์รัปชันที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ จะบอกว่าไม่มีทุจริตคงไม่ได้ จากอดีตถึงปัจจุบันรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร หลังหมดยุคแล้วจะพบการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมากมายในทุกครั้ง เชื่อว่าครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน เพียงแต่ยังไม่มีการตรวจสอบเท่านั้น เชื่อว่าหลังเปิดสภาฯแล้ว คงได้ข้อมูลและเรื่องผิดปกติมาเปิดเผยกัน

“เทพไท” แนะทุกขั้วถอยคนละก้าว

ช่วงบ่ายวันเดียวกันที่พรรคประชาธิปัตย์ นาย เทพไท เสนพงศ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองขณะนี้ว่า ถ้าทุกฝ่าย ทุกพรรคยังถือทิฐิ ไม่ยอมลดราวาศอก บ้านเมืองเราจะถึงทางตันตกอยู่ในวังวนเดิม ถ้าจะให้ การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ หรือให้ใช้มาตรา 44 เพื่อสั่งยกเลิกการเลือกตั้ง จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของต่างประเทศ และเสียงบประมาณที่ใช้ในการเลือกตั้งไปโดยเปล่าประโยชน์ 5-6 พันล้านบาท คิดว่าทางออกของประเทศ ทุกพรรค ทุกขั้ว ทุกฝ่าย ควรต้องถอยคนละก้าว เพื่อให้บ้านเมืองสามารถก้าวเดินต่อไปได้

ชงสูตรตั้งรัฐบาลแห่งชาติ

นายเทพไทกล่าวว่า ทางออกที่ดีที่สุดเวลานี้คือการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ที่ทุกฝ่าย ทุกพรรคที่มี ส.ส.มีส่วนร่วม โดยนายกฯ ต้องเป็นคนกลางที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับ ไม่ใช่เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองกับขั้วใดขั้วหนึ่ง ทุกพรรคต้องร่วมลงสัตยาบันทางการ เมือง เห็นพ้องในการตั้งรัฐบาลแห่งชาตินี้ และมี ภารกิจหลัก 2 เรื่องใหญ่คือ 1.การแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน 2.แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้มีความเป็นประชาธิปไตยตามหลักสากล เมื่อเสร็จภารกิจหลักนี้ภายในเวลา 2 ปี ให้ยุบสภาฯ คืนอำนาจให้ประชาชนในการกำหนดอนาคตผ่านการเลือกตั้งใหม่ หากเห็นว่าข้อเสนอนี้เป็นทางออก ทุกพรรคการเมืองก็ควรหันหน้าเข้าหากัน และพูดคุยกันอย่างสร้างสรรค์ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเป็นหลัก

“ชวน” ชี้ผู้นำ ปชป.ต้องค้านได้

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังคงยืนยันไม่รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคมีบุคคลที่เหมาะสมมีศักยภาพหลายคน ต้องคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ จะเป็นใครก็ได้ บางทีอาจมีการเสนอคนนอกพรรคเข้ามารับตำแหน่ง แต่หลักการและความเป็นจริง คนที่จะเป็นหัวหน้าพรรคต้องพร้อมทำหน้าที่ พร้อมที่จะเผชิญหน้า พร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้าน ไม่ใช่รอเป็นนายกฯ หรือเป็นรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ดังนั้นคนนอกที่จะเข้ามาค่อนข้างยาก ที่ผ่านมาตนเคยชักชวนคนเก่งๆ คนดี และมีศักยภาพมาร่วมงานการเมือง ส่วนใหญ่ปฏิเสธเพราะติดธุรกิจ ไม่อยากเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน ไปตรวจสอบคนอื่นก็เกรงกระทบกับธุรกิจ คนเข้ามาทำงานการเมืองต้องหนักแน่น มั่นคง ไม่หวั่นไหว เราต้องให้กำลังใจคนรุ่นใหม่ และอดีต ส.ส.ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง

พปชร.ดี๊ด๊า “ป๋า” ออกหน้าการันตี

นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า น่ายินดีมากที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้ออกมายืนยันว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่โกง ซื่อสัตย์สุจริต ในฐานะที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ พวกเราจึงรู้สึกยินดีอย่างมาก เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้การจัดตั้งรัฐบาลมีความราบรื่นขึ้น เพราะหลายพรรคต้องการผู้นำที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่โกงเหมือนบางกลุ่มการเมืองในอดีตที่คอร์รัปชันจนบ้านเมืองเสียหายมาก เราจะไม่ปล่อยให้กลุ่มการเมืองบางพรรคที่มีปัญหาทุจริตเข้ามาบริหารบ้านเมืองอีก

อนค.เชื่อ “ธนาธร” ตอบได้ทุกเรื่อง

ด้านนายคารม พลพรกลาง ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะทีมงานฝ่ายกฎหมายพรรค ให้สัมภาษณ์ถึงการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ว่า จากการตรวจสอบขณะนี้ยังไม่พบมีผู้สมัคร ส.ส. หรือว่าที่ ส.ส.คนใด เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามดังกล่าว ข้อกังวลเกิดจากแบบฟอร์มสำเร็จรูปของกรมพัฒนาธุรกิจ ที่ระบุวัตถุประสงค์ทั่วไป 43 ข้อ ครอบคลุมกิจการเกือบทุกประเภท และในข้อ 43 ระบุว่าประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ รับจัดทำสื่อโฆษณา สปอตโฆษณา เผยแพร่ข้อมูล เท่ากับว่าแม้ความเป็นจริงผู้สมัคร ส.ส.คนนั้นไม่ได้ดำเนินกิจการ หรือถือหุ้นสื่อ แต่เอกสารระบุวัตถุ– ประสงค์เปิดช่องให้ทำสื่อได้ ศาลจะตัดสินโดยตีความตามเอกสาร ดังนั้น หากจะมีความผิดพลาดคงเป็นลักษณะนี้ เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่ากรณีนี้ อาจกระทบถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นายคารมตอบว่า ค่อนข้างมั่นใจว่านายธนาธรตอบได้ทุกเรื่อง และตรวจสอบคุณสมบัติตัวเองมาอย่างดี เชื่อใจทีมกฎหมายพรรคว่าจะแก้ข้อกล่าวหาได้

ผู้สมัครร้อง กกต.เปิดคะแนน

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) น.ส.ณิชชา บุญลือ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 13 พรรค อนาคตใหม่ ยื่นหนังสือต่อ กกต.เพื่อติดตามทวงถามผลคะแนนจากทุกหน่วยเลือกตั้งในเขต 13 เนื่องจากได้ไปร้องขอที่ กกต.เขตบางกะปิแล้ว แต่ได้รับคำชี้แจงว่า ผลคะแนนทั้งหมดถูกส่งมายัง กกต.กลางแล้ว ต้องการมาทวงถามผลคะแนนก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งที่ 32 แม้จะมีคะแนนที่รวบรวมจากทุกหน่วยแล้ว แต่ยังต้องการข้อมูลคะแนนของ กกต. มาเปรียบเทียบยืนยัน หาก กกต.ยังไม่ยอมเปิดเผยก็ถือว่ายังไม่สิ้นข้อสงสัย ส่วนตัวเชื่อว่าการนับคะแนนน่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นในหน่วยอื่นด้วย ไม่ได้แค่มีปัญหาในหน่วยที่ 32 เพียงหน่วยเดียวแน่

ขอคะแนนที่ล่องหนกลับคืนมา

ด้าน น.ส.พัสวี ภัทรพุทธากร ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 2 พรรคอนาคตใหม่ เข้าทวงถามผลคะแนนในเขตเลือกตั้งที่ 2 เพราะมีคะแนนตามหลังคู่แข่งอยู่เพียง 273 คะแนน ระหว่างที่สังเกตการณ์การนับคะแนนพบความผิดพลาดในการเขียนคะแนน เช่น ในหน่วยเลือกตั้งที่ 3 อุเทนถวาย ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐมี 57 คะแนน กรรมการการเลือกตั้งประจำหน่วย (กปน.) กลับลงคะแนนให้เป็น 67 คะแนน และยังพบความผิดปกติในการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการในระบบแรบพิต รีพอร์ต ในช่วงเวลา 19.59 น. ตนมีคะแนน 12,712 คะแนน แต่เมื่อเวลา 20.26 น. คะแนนหายไปหลายพัน เหลือแค่ 8,811 คะแนน เชื่อว่าอาจมีความผิดพลาดในการเขียนคะแนน กกต.ควรเปิดเผยผลคะแนนเพื่อให้เกิดความชัดเจน และคืนคะแนนที่หายไปให้กับตน

สหรัฐฯตอกบัวแก้วรู้หลักปฏิบัติดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อช่วงกลางดึกคืนวันที่ 10 เม.ย.ตามเวลาในไทย ระบุว่า เหล่านักการทูตนานาชาติได้ออกมาตอบโต้กรณีกระทรวงต่างประเทศไทยกล่าวหานักการทูต 11 ชาติ กับอีกหนึ่งองค์กรระหว่างประเทศ ละเมิดหลักปฏิบัติทางการทูตฐานเข้าไปร่วมสังเกตการณ์การไปรับทราบข้อกล่าวหาของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ สน.ปทุมวัน ว่าการเข้า สังเกตการณ์เป็นไปตามมาตรฐานของหลักปฏิบัติทางการทูต โดยโฆษกสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ระบุว่า นายปีเตอร์ เฮย์มอนด์ อุปทูตในฐานะรักษาการเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าพบหารือเจ้าหน้าที่ระดับสูง ตามคำร้องขอของกระทรวงต่างประเทศไทย โดยทั่วไปสถานทูตสหรัฐฯเข้าสังเกตการณ์การพิจารณาคดีที่คนสนใจทั่วโลกอยู่แล้ว เพื่อสังเกตการณ์ว่ามีการพิจารณาคดีโดยยุติธรรม และเคารพหลักนิติรัฐ นี่เป็นมาตรฐานหลักปฏิบัติทางการทูต สหรัฐฯสนใจคดีนี้เหมือนคดีอื่นๆอีกหลายคดี เพื่อสังเกตการณ์กระบวนการยุติธรรม และรับทราบข้อมูลทางคดีโดยตรง

อียูย้ำเป็นมาตรฐานการทูตทั่วโลก

ขณะที่คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยออกแถลงการณ์ทำนองเดียวกัน ระบุว่า การเข้าร่วมสังเกตการณ์การไต่สวนและพิจารณาคดี เป็นมาตรฐานของหลักปฏิบัติทางการทูตทั่วโลก เพื่อเสริมความเข้าใจถึงการยึดมั่นต่อมาตรฐานสากล เช่น สิทธิมนุษยชน และกระบวนการที่ถูกต้องทางกฎหมาย การสังเกตการณ์เช่นนี้ไม่ถือว่าเข้าข่ายการชื่นชอบโน้มเอียงทางการเมือง หรือสนับสนุนใครเป็นการเฉพาะ อียูขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ให้ความร่วมมืออำนวยความสะดวก และบรรยายสรุปให้คณะเจ้าหน้าที่นักการทูตได้รับฟัง

อุทธรณ์ยืนยกฟ้องกลุ่มโหวตโน

ที่ศาลจังหวัดราชบุรี อ.เมืองราชบุรี ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายปกรณ์ อารีกุล โฆษกพรรคสามัญชน นายอนุชา รุ่งมรกต นายอนันต์ โลเกตุ สมาชิกขบวนการประชาธิปไตยใหม่ นายทวีศักดิ์ เกิดโภคา ผู้สื่อข่าวประชาไท และนายภานุวัฒน์ ทรงสวัสดิ์ชัย นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นจำเลยที่ 1-5 ฐานกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ กรณีตำรวจตรวจค้นรถของนายปกรณ์ พบสติกเกอร์ “7 สิงหา ร่วมกัน VOTE NO ไม่รับอนาคตที่ไม่ได้เลือก” ในรถ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 ก.ค.2559 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้อง เนื่องจากพิจารณาตามข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าข้อกล่าวหาของโจทก์ เป็นเพียงการคาดคะเนของพยานฝ่ายโจทก์ ไม่ปรากฏการกระทำที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ภายหลังการพิจารณาเสร็จสิ้น ทั้งหมดออกมายืนหน้าป้ายศาลจังหวัดราชบุรี พร้อมชู 3 นิ้ว เป็นสัญลักษณ์ต่อต้านเผด็จการ