“ประยุทธ์” กอดรัฐธรรมนูญแน่น ไล่คนชงรัฐบาลแห่งชาติไปดูกฎหมายให้ดี ไม่ใช่เสนออะไรก็ได้ ไม่ปลื้มผู้แทนนานาชาติร่วมสังเกตการณ์คดี “ธนาธร” สะกิด “บัวแก้ว” ถกทูตอย่าให้ขัดแย้ง ลั่นไทยแก้ปัญหากันเองอย่าดึงต่างชาติมาจุ้น “ดอน” สวดผิดหลักการ-จรรยาบรรณ ชั่งใจร่อนหนังสือแจง หรือเชิญมาเคลียร์ พท.บี้ กกต. เผยสูตรคิดปาร์ตี้ลิสต์ “ทศพร” โชว์ชาร์ต เตือนสูตรเอื้อพรรคเล็กผิดรัฐธรรมนูญ ซัดตุกติกช่วยค่ายพลังดูดต้อน ส.ส.ตั้งรัฐบาล “ราเมศ” แนะ ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ “ศรีสุวรรณ” ยื่น 399 รายชื่อถอดถอน กกต. จวกจัดเลือกตั้งสุ่มเสี่ยงไม่สุจริตเที่ยงธรรม “เอกชัย” ฟ้องฟันจัดกาบัตรไร้ประสิทธิภาพ “เรืองไกร” ร้องผู้ตรวจการฯส่งวินิจฉัยเลือกตั้ง 24 มี.ค. เป็นโมฆะหรือไม่ “วัชระ” ชู 7 คุณสมบัติหนุน “ชวน” เสียสละนั่ง หน.พรรค ประธานสภาที่ปรึกษา ปชป.แชตไลน์ ขอบคุณ แต่ไม่ขอรับ
จากกรณีที่มีตัวแทนองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และผู้แทนสถานทูต 12 ประเทศเข้าร่วมสังเกตการณ์กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ รับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.ปทุมวัน ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลแสดงความไม่สบายใจ มองว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่เหมาะสม ไม่ควรดึงต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย
นายกฯขอทุกคนทำประเทศสงบ
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 9 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนการประชุม น.ท.หญิงแพทย์หญิงอุบลวัณณ์ จรูญเรืองฤกธิ์ ผอ.ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย นำศิลปินดารา อาทิ รอง เค้ามูลคดี ศิลปินแห่งชาติ เข้าพบนายกฯ เพื่อเชิญชวนประชาชนบริจาคโลหิตเพื่อเตรียมสำรองโลหิตในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในโครงการ “แล้งนี้ไม่แล้งน้ำใจ ด้วยการให้โลหิต”ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จากนั้น พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำคณะเข้าพบนายกฯประชาสัมพันธ์กิจกรรมติดเข็มกลัดดอกลำดวน เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 62 ซึ่งช่วงหนึ่งนายกฯได้จับมือ ผู้ร่วมงานแกว่งแขนตามจังหวะเพลง “จับมือกันไว้” ของเบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ก่อนกล่าวว่า ประเทศเราต้องช่วยกันทุกเพศทุกวัยทำให้ประเทศชาติสงบ
...
ตั้ง รบ.แห่งชาติดู ก.ม.ไม่ใช่อะไรก็ได้
ต่อมาเวลา 13.10 น. พล.อ.ประยุทธ์แถลงภายหลังการประชุม ครม.ว่า วันนี้อยากให้ทุกคนมีความสุขกันบ้าง เราได้พูดคุยกันมาเยอะแล้วหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่มีปัญหาทางการเมืองอะไรต่างๆ อยากให้รอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลอย่างเป็นทางการ เขากำลังแก้ปัญหาเป็นระยะๆไป เป็นกระบวนการของ กกต. เมื่อถามถึงกรณีนักการเมืองโยนข้อเสนอรัฐบาลแห่งชาติ โดยต้องไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯมีความเห็นอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “มีบางคนออกมาพูดเรื่องรัฐบาลแห่งชาติมันใช่หรือไม่ จะไปได้อย่างไรยังไม่รู้เลย กฎหมาย รัฐธรรมนูญเขาเขียนว่าอย่างไร กฎหมายเลือกตั้งว่าอย่างไร รัฐบาลจะมาจากไหน อะไรต่างๆ ขั้นตอนยังไม่จบ ต้องไปดูว่าวัตถุประสงค์ของการออกมาพูดเพื่อต้องการอะไร ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ใครที่จะนึกอยากกำหนดกติกาขึ้นมาใหม่ อะไรก็ได้ มันคงไม่ได้ทั้งหมด ต้องดูกฎหมาย ทำความเข้าใจกับกฎหมายให้ดี”

หวั่นเปิดช่องคนไม่หวังดีแทรกแซง
เมื่อถามว่า มองการเชิญตัวแทนทูต 12 ประเทศร่วมสังเกตการณ์คดีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่าไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นตัวแทนทูตจริงหรือเปล่า ตอนนี้ให้กระทรวงการต่างประเทศติดตามอยู่ พูดคุยกับเอกอัครราชทูต ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง เราจำเป็นต้องอยู่ในโลกใบนี้เช่นเดียวกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือเราปฏิบัติตามทุกอย่างตามรัฐธรรมนูญไทย กฎหมายไทย เป็นเรื่องกฎหมายทั้งสิ้น ไม่ว่าคดีเก่าคดีใหม่ รวมถึงศาล ทหารเกิดขึ้นมานานแล้ว และคดีนี้เกิดตั้งแต่ปี 2558 ระหว่างนั้นมีการใช้คำสั่งอยู่แต่หลังจากนั้นเราได้ปลดล็อกคำสั่งนี้ แต่ช่วงนั้นบ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อย จำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ ต้องมองวัตถุประสงค์คนที่เชิญ คนที่มา ไม่อยากให้คนไทยไปคล้อยตามมากนัก เพราะเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมของเราเอง ถ้าเราไม่เชื่อมั่นและยึดถือกระบวนการยุติธรรมของเรา จะเป็นโอกาสที่ใครจะแทรกแซงเข้ามา จะด้วยความหวังดีหรือไม่หวังดีไม่รู้เหมือนกัน แต่ต้องทำความเข้าใจกันต่อไป
ไทยแก้กันเองอย่าดึงต่างชาติมายุ่ง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งคือการเลือกตั้ง การมีรัฐบาลต้องเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ขอให้รอวันประกาศผลรองรับไม่เกินวันที่ 9 พ.ค. ใครจะพูดอะไรต่างๆก็ตาม ขอให้คิดดูว่าเขาพูดเพื่อหวังผลอะไรหรือเปล่า ไม่ไปทะเลาะกับเขาหรอก เพราะยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย ยึดมั่นตามกฎหมายรัฐธรรมนูญเดินไปตามนั้นหมดมาตลอด ขอให้ช่วยกันลดความขัดแย้งลงให้มากหน่อย วันนี้อย่าไปขัดแย้งกับต่างประเทศอีกเลย มันอยู่ที่คนของเราไปทำอะไรกันมา เรื่องอะไรที่เป็นของเรา แก้ปัญหาของเราภายในประเทศให้ได้แล้วกัน หากเป็นอย่างนี้อีกหน่อยต้องให้ต่าง ประเทศมาแก้ให้เราทุกเรื่องเลยหรืออย่างไร ทั้งที่มันเป็นเรื่องของเรา กฎหมายของเรา กระบวนการยุติธรรมของเรา เราต้องภูมิใจในความเป็นชาติของเรา
“ดอน” สวดตัวแทนทูตผิดหลักการ
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีมีผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตและองค์การระหว่างประเทศหลายแห่งร่วมรับฟังการรับทราบข้อกล่าวหาของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่สถานีตำรวจปทุมวันว่า กระทรวงการต่างประเทศจะพิจารณาว่าจะทำหนังสือชี้แจงหรือเชิญทูตต่างๆมาทำความเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้ในบ้านเขาทำไม่ได้เลย แต่มาทำในบ้านเรา จึงต้องขอความร่วมมืออย่าให้มันเกิดอีก เนื่องจากผิดหลักการการทูตของสหประชาชาติและหลักสากล สถานทูตจะเข้ามาเกี่ยวข้องเรียกร้องกระบวนการยุติธรรม ทำได้กรณีเดียวคือ กรณีคนของเขามีเรื่องในบ้านเรา ถ้าไม่ใช่เรื่องคนของเขาไม่มีประเทศไหนเขายอม จึงต้องทำความเข้าใจกันทั้งเรื่องหลักการและจรรยาบรรณในหลักปฏิบัติพื้นฐานที่สถานทูตต้องรับทราบ เคยมีหนังสือเวียนไปแล้วครั้งหนึ่ง เคยให้เอกอัครทูตแต่ละประเทศมาทำความเข้าใจว่าเรื่องประเภทนี้ไม่ใช่เรื่องที่พึงปฏิบัติ
ไม่มีใครยอมให้เข้าห้องไต่สวน
เมื่อถามว่า ถ้าคนของเราเชิญเขามีความชอบธรรมในการสังเกตการณ์หรือไม่ นายดอนตอบว่าตามหลักการเชิญไม่ได้ เพราะเป็นกระบวนการยุติธรรมสถานทูตต้องเข้าใจ หลักปฏิบัติหากเกิดข้อสงสัย สถานทูตสอบถามมายังกระทรวงการต่างประเทศว่าไปร่วมสังเกตการณ์ได้หรือไม่ กรณีนี้ไม่มีการสอบถามมา ส่วนนายธนาธรต้องขึ้นศาลทหารสถานทูตจะไปร่วมสังเกตการณ์ได้หรือไม่ตนไม่ทราบ เป็น เรื่องของศาลคนละเรื่องกับการไต่สวนที่สถานีตำรวจ หากมีการชุมนุมบนถนนเรายังติดตามดูห่างๆ เพื่อให้เห็นภาพใหญ่ แต่จะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องภายในของเขา

ถามใจคนไทยเหมาะสมหรือไม่
เมื่อถามว่า ถือเป็นการแทรกแซงกระบวนการภายในหรือไม่ นายดอนตอบว่า เอาเป็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเขาไม่ปฏิบัติกัน แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เราไม่เคยทำกับใคร ประเทศอื่นๆไม่ทำเช่นนี้กับประเทศไหน ไม่เคยมีหลักปฏิบัติในการเข้าไปเก็บข้อมูลในห้องไต่สวน ที่ถูกที่ควรถ้าอยากรู้บรรยากาศเป็นอย่างไรให้อยู่นอกสถานีตำรวจ การเข้าไปเก็บข้อมูลไม่ใช่เข้าไปนั่งฟัง ไม่มีทางที่ประเทศไหนๆจะทำได้โดยเด็ดขาด ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่มีทางที่เขาจะให้เกิดขึ้น เมื่อถามว่า การกระทำเช่นนี้เป็นการดิสเครดิตประเทศไทยหรือไม่ นายดอนกล่าว ว่า จะบอกว่าดิสเครดิตอย่างไร เอาเป็นว่าเราแตกต่างคือเราง่ายเหลือเกิน เขาคิดว่าอยากทำอะไรก็ได้ในบ้านเมืองเรา ต้องถามประชาชนคนไทยว่าใครจะทำอะไรก็ทำได้มันเหมาะหรือไม่ในความรู้สึกคนไทย
“ธนาธร” จะไม่ขึ้นศาลทหารต้องร้องเอง
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ต่างประเทศเฝ้าติดตามสังเกตการณ์การรับทราบข้อกล่าวหาของนายธนาธรว่า เจ้าหน้าที่จากต่างประเทศที่เฝ้าติดตามสถานการณ์เรื่องนี้ ถามว่า ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว ทำไมถึงช้า ทำไมต้องขึ้นศาลทหาร ทางเราชี้แจงไปแล้ว ถ้าจะถามว่าทำไมต้องขึ้นศาล ทหาร ขอตอบสรุปง่ายๆ เพราะมันเป็นกฎหมาย ช่วงเวลาที่เกิดเหตุมีการรับคดีไว้ตั้งแต่ต้น เป็นช่วงเวลาที่กฎหมายบังคับว่าต้องขึ้นศาลทหาร หากต้อง การเปลี่ยนศาลต้องไปยื่นคำร้องเอาเอง แล้วแต่ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัย
กต.เรียกผู้แทนทูตมาเคลียร์ใจ
ช่วงค่ำ น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญผู้แทนจากสถานทูตที่ไปปรากฏตัวที่สถานีตำรวจปทุมวันใน วันที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไปรับทราบข้อกล่าวหา ให้มาหารือกันแล้ว ได้นัดหมายวันที่ 10 เม.ย. โดยวัตถุประสงค์หลัก เพื่อพูดคุย ทำความเข้าใจกัน
“ภูมิธรรม” ติง “ดอน” ไม่เข้าใจบทบาท
นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว. ต่างประเทศ จะเชิญทูตมาทำความเข้าใจเรื่องจรรยาบรรณหลังส่งตัวแทนไปสังเกตการณ์คดีหัวหน้าพรรค อนาคตใหม่ว่า กระทรวงการต่างประเทศต้องเข้าใจบทบาทตนเอง เราเป็นประเทศที่เปิดการสัมพันธ์กับนานาอารยประเทศ ควรใช้หลักสากลที่ทุกฝ่าย ยอมรับ การดำเนินคดีกับหัวหน้าพรรคการเมืองเรื่อง ที่เกิดขึ้นมาแล้ว 4 ปีแล้ว นานาประเทศให้ความสนใจ จะเข้ามาดู ไม่ใช่เรื่องผิดจรรยาบรรณอะไร นายดอน ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนขึ้น นานาประเทศเพียงแต่สงสัยว่าเหตุใดพลเรือนต้องไปขึ้นศาลทหาร ไม่ใช่ ไปบอกว่าเข้ามาแทรกแซงและเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
บี้ กกต.ประกาศวิธีคิดปาร์ตี้ลิสต์
นายภูมิธรรมกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยจะประชุมเรื่องข้อกฎหมายที่จะไปท้วงติงต่อ กกต.วันที่ 10 เม.ย. ว่า เป็นการประชุมเตรียมการประชุมใหญ่วันที่ 21 เม.ย. และมีเรื่องสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อขึ้นมาเป็นเรื่องผิดปกติ อยากเรียกร้องทำให้กระจ่างชัด เพื่อความโปร่งใสของ กกต.ให้ยอมรับได้ทั้งในและต่างประเทศ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ชัดเจนหลายเรื่อง คะแนนดิบทั้งหมดที่พรรคขอไปยังไม่ได้รับ วิธีคิดวิธีคำนวณ ส.ส.ยังไม่ชัด อยากให้ประกาศให้ชัดเจน จะได้ทักท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการไว้เป็นหลักฐาน เมื่อหลายฝ่ายทักท้วงแล้ว กกต.ฝืนทำจะต้องรับผิดชอบ หากไม่เกิดความชัดเจนจะกลายเป็นว่า กกต.ทำให้ตัวเองเสื่อม

พท.เตือนสูตรเอื้อพรรคเล็กผิด รธน.
เมื่อเวลา 11.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย นพ.ทศพร เสรีรักษ์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ขอเตือน กกต.อย่าใช้สูตรคำนวณหา ส.ส.ที่พึงมีของระบบบัญชีรายชื่อ เพื่อจัดสรร ส.ส.ให้กับพรรคการเมืองขนาดเล็ก ตามข่าวที่ปรากฏว่าจะมี 11 พรรคการเมืองขนาดเล็ก ได้ที่นั่ง ส.ส.พรรคละ 1 ที่นั่ง ทั้งที่ได้คะแนนเพียง 20,000 -30,000 คะแนน จากคะแนนค่าเฉลี่ยกลางที่คำนวณแล้ว ส.ส. 1 คนจะต้องได้คะแนนประมาณ 71,000 คะแนน เนื่องจากเป็นการคำนวณผิดจากรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 128 โดยการจะปัดเศษให้กับพรรคที่ลงเลือกตั้งจะมีเฉพาะกรณีที่ได้จำนวนไม่ถึง 150 ที่นั่ง แต่จากสูตรนี้จำนวนที่นั่งทุกพรรครวมกันจะเท่ากับจำนวน ส.ส. 152 เสียง ดังนั้นต้องคำนวณเพื่อให้ได้จำนวนไม่เกินสูตรที่งอก ส.ส.ให้ 11 พรรคเล็ก เป็นการคำนวณที่ได้ ส.ส.เกินจริง
ซัดช่วยบางพรรคพ่นพลังดูดตั้ง รบ.
นพ.ทศพรกล่าวว่า เชื่อว่าสูตรคำนวณที่ผิดดังกล่าวหวังผลเพื่อช่วยบางพรรคการเมืองให้ได้จัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากก่อนหน้านี้มีโฆษกของบางพรรคระบุว่าอยู่ระหว่างเจรจา 11 พรรคเล็กที่ได้ ส.ส. 1 ที่นั่งเพื่อรวมเสียงตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีคำอธิบายจาก กกต.และ กรธ. ว่าการคิดปัดเศษนั้นยึดตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ให้ความสำคัญกับทุกคะแนนเสียง เป็นคำอธิบายที่รับฟังไม่ได้ เพราะการจัดสรรให้ 11 พรรคเล็กได้ ส.ส.ทั้งที่คะแนนไม่ถึงเกณฑ์พึงมี จะทำให้คะแนนของพรรคใหญ่หายไป ต้องนำคะแนนส่วนดังกล่าวไปปันให้กับ 11 พรรคเล็ก ทั้งนี้ ได้เตรียมเข้าร่วมกิจกรรมกับนักศึกษาที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่ออธิบายสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อไปอธิบายกับประชาชน
บุก กกต.แน่จริงเปิดสูตรคำนวณ
ต่อมาเวลา 13.30 น. ที่สำนักงาน กกต.นพ.ทศพรไปเข้ายื่นหนังสือขอพบ กกต.ทั้ง 7 คน เพื่อสอนสูตรคณิตศาสตร์เกี่ยวกับการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เนื่องจากเห็นว่าการคำนวณที่ กกต.ระบุว่า มีไม่น้อยกว่า 25 พรรคการเมืองจะได้รับการจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นการคำนวณที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.และหลักคณิตศาสตร์เพราะจากที่ตนคำนวณจะมีเพียง 14 พรรคเท่านั้น สงสัยว่า กกต.ใช้สูตรใดในการคำนวณทำให้มีพรรคเล็กงอกออกมา 11 พรรค ทั้งที่ 11 พรรคดังกล่าว มีจำนวนคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ ส.ส.พึงมี จึงขอท้าให้ กกต.เปิดเผยสูตรการคำนวณต่อสาธารณะ
“ราเมศ” แนะส่งศาล รธน.ตีความ
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายราเมศ รัตนะเชวง กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการนับคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อว่า เรื่องนี้กรณีขัดต่อรัฐธรรมนูญ ท้ายที่สุดคาดว่าจะต้องไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัยอย่างที่ กกต.ควรจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดเพราะกฎหมายสามารถยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ เมื่อเกิดมีปัญหาในเรื่องหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายเพื่อจะได้ข้อสรุปเป็นที่ยุติ

“วัชระ” ยก 7 ข้อชู “ชวน” นั่ง หน.ปชป.
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการสนับสนุนนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคว่า เหตุผลที่สนับสนุนนายชวน หลีกภัย เพราะ 1.สถานการณ์การเมือง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาจากเดิมเป็นคนกลางแต่กลายเป็นคู่ขัดแย้งที่จะก่อให้เกิดวิกฤตการณ์การเมืองในอนาคต 2.หัวหน้าพรรคต้องมีบารมีและอาวุโสเป็นที่ยอมรับทั้งในนอกพรรคและต่างประเทศ 3.ไม่มีบาดแผลหรือกรณีทุจริตให้ คสช.หรือพรรคอื่นมาว่าได้ภายหลัง 4.ประชาชนยังให้ความนิยม เคารพ เชื่อถือนายชวนจำนวนมากทั่วประเทศ และดำรงตนสม่ำเสมอ ติดดิน มีเสน่ห์ไม่ตกสมัย ใช้เทคโนโลยีใหม่เป็น เข้ากับคนทุกวัยได้
เหมาะเสียสละประคองพรรค
นายวัชระกล่าวอีกว่า 5.เชื่อมั่นว่าจะให้ความเป็นธรรม การจัดลำดับบัญชีรายชื่อเป็นธรรม ใส่ใจสมาชิกทุกคน โดยไม่เลือกปฏิบัติ 6.ยึดมั่นอุดมการณ์พรรคและหลักการนิติรัฐ นิติธรรม และ 7.เป็นนายกฯมาแล้ว 2 สมัย และเป็นที่ยอมรับทุกวงการ จึงเชื่อมั่นว่านายชวนจะประคับประคองพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการเสียสละทำหน้าที่ให้พรรคและสมาชิกและพี่น้องประชาชนได้แน่นอน การเลือกตั้งที่ผ่านมานายชวนเดินทางไปเกือบทั่วประเทศอย่างแข็งแรง พิสูจน์เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้วว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข จึงสนับสนุนนายชวน หลีกภัยเป็นหัวหน้าพรรคในสถานการณ์นี้ เพื่อประสานคนทุกวัยทำงานเพื่อประเทศชาติต่อไป

“ชวน” ขอบคุณความหวังดีแต่ไม่ขอรับ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคประชาธิปัตย์ว่าภายหลังที่นายเทพไท เสนพงศ์ รักษาการรองเลขาธิการและว่าที่ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ระบุผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์สนับสนุนนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ให้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน หลังพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งเมื่อ 24 มี.ค. โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ลาออกจากหัวหน้าพรรค ล่าสุดเมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 9 เม.ย. นายเทพไท เสนพงศ์ ได้โพสต์ในไลน์กลุ่มอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ที่มีสมาชิก 174 คน ขอความเห็นเพื่อนสมาชิกในกลุ่มให้สนับสนุนนายชวนว่าเหมาะสมจะนั่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายชวน หลีกภัย ได้โพสต์ตอบว่า “ผมขอขอบคุณความหวังดีของพวกเราทุกคนครับ แต่ไม่ขอรับข้อเสนอหัวหน้าพรรคครับ ผมตั้งใจใช้เวลาที่ยังทำงานได้นี้ ร่วมกับพวกเราสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พรรคครับ ขอบคุณ ท่านเทพไทครับ ไม่ขอรับครับ”
อดีต ส.ส.แห่สนับสนุนเพียบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อโพสต์ระบุว่า ขอสนับสนุนความเห็นของนายเทพไทที่เสนอชื่อนายชวนเป็นหัวหน้าพรรค เช่นเดียวกับนายสามารถ มะลูลีม อดีต ส.ส.กทม.โพสต์ข้อความว่า “ผมขอสนับสนุนครับ เพราะพี่น้องประชาชนยังรักท่านชวนมากๆครับ” โดยมีนายเจริญ คันธวงศ์ อดีต ส.ส.กทม.ได้โพสต์ข้อความอีกว่า “ขอบพระคุณท่านชวน หลีกภัย ที่ยึดหลักการ ส่องทางให้ชาว ปชป.ยึดต่อไปเพื่อ ปชป.”
เด็ก พช.ฉะ “บิ๊กตู่” คิดให้มากก่อนพูด
น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงการที่ตัวแทนทูต 12 ประเทศร่วมสังเกตการณ์คดีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไม่รู้ว่าเป็นตัวแทนทูตจริงหรือไม่ ว่า หัวหน้ารัฐบาลสั่งข้าราชการกระทรวงต่างประเทศหาข้อมูลให้ได้ ถ้ากระทรวงต่างประเทศไม่มีความสามารถหรือถ้าไม่มีหน่วยราชการใดหาข้อมูลให้ นายกฯแค่เปิดกูเกิลค้นหาก็เจอแล้วว่าใครเป็นใคร ไม่ใช่เรื่องยาก ดีกว่าออกมาพูดโดยไม่ค้นหาข้อมูล นายกฯพูดไปแล้วไม่ใช่เรื่องจริง เป็นการปรามาสนักการทูตสร้างความเสียหายและอับอายให้ประเทศ ก่อนพูดอะไรควรค้นหาข้อมูลสักนิด นึกถึงหน้าประชาชนบ้าง อย่าพูดสนุกปากเพื่อประโยชน์ส่วนตน ดิสเครดิตผู้ที่ประชาชนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เทใจให้ อย่าพูดด้วยความริษยาเพราะไม่สามารถเอาชนะใจคนรุ่นใหม่ได้ การพูดในฐานะตัวแทนประเทศต้องคิดก่อนพูดให้มาก
“ปิยบุตร” งงจากพยานเป็นผู้ต้องหา
เมื่อเวลา 16.45 น. นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ได้รับหมายเรียกพยานจากกรณีอ่านคำแถลงการณ์พรรคอนาคตใหม่กรณีการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ให้ไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจวันเดียวกันที่ได้รับหมาย ทำให้ไม่สามารถไปได้ จึงได้ให้ทนายความขอเลื่อนการเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจออกไป มาวันที่ 9 เม.ย. หมายเรียกพยานได้กลายเป็นหมายเรียกผู้ต้องหาแทนแล้ว มีรายละเอียดระบุว่า พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ รับมอบอำนาจจาก คสช.ไปร้องทุกข์กล่าวโทษตนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจความผิดอาญา 2 ฐาน ได้แก่ 1.ดูหมิ่นศาล 2.นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ น่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หรือเกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชนตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ หมายเรียกผู้ต้องหาออกวันที่ 5 เม.ย. และให้ไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจวันที่ 9 เม.ย. แต่ตนเดินทางมาเยี่ยมภรรยาที่ต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.จึงให้ทนายความขอเลื่อนนัดเป็นวันที่ 17 เม.ย.แทน ยืนยันว่าจะไปพบเจ้าหน้าที่ที่ ปอท.แน่นอน มั่นใจว่าแถลงการณ์ของพรรค ไม่มีข้อความใดเข้าข่ายความผิดตามที่กล่าวหา
“ศรีสุวรรณ” ยื่น 399 รายชื่อสอย กกต.
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นำรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 399 รายชื่อ ยื่นต่อ ป.ป.ช.เพื่อถอดถอนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 7 คน กรณีจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากการจัดการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.2562 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายการเลือกตั้ง
จวกสุ่มเสี่ยงไม่สุจริตเที่ยงธรรม
นายศรีสุวรรณกล่าวว่า การจัดการเลือกตั้งของ กกต.มีข้อสงสัยและสุ่มเสี่ยงต่อการไม่สุจริตเที่ยงธรรมหลายประเด็น อาทิ กรณีวินิจฉัยให้บัตรเลือกตั้งจากนิวซีแลนด์ไม่เป็นไปตามกฎหมาย การไม่สั่งให้พรรคการเมืองแจงที่มาการใช้งบประมาณในนโยบายหาเสียง กรณีจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ตรงกับจำนวนบัตรลงคะแนน โดยไม่เอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง การไม่เอาผิดกับผู้สมัคร ส.ส.ฐานแจ้งความเท็จที่ยื่นใบสมัคร ส.ส. ทั้งที่รู้ว่าขาดคุณสมบัติ การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่เกิดปัญหาจึงมายื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ไต่สวน โดย ป.ป.ช.มีกรอบเวลาไต่สวน 1 ปี หากเห็นว่าคดีมีมูลความผิดจะส่งเรื่องให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อระงับการปฏิบัติหน้าที่และเพิกถอนออกจากตำแหน่งต่อไป
“เอกชัย” ชงฟันจัด ลต.ไร้ประสิทธิภาพ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เวลา 09.45 น. นายเอกชัย หงส์กังวาล นักเคลื่อนไหวทางการเมืองได้นำรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 402 คน ยื่นต่อ ป.ป.ช.ให้พิจารณาถอดถอน 7 กกต. เนื่องจากจัดการเลือกตั้งไม่มีประสิทธิภาพ
“เรืองไกร” ร้องผู้ตรวจฯส่ง ลต.โมฆะ
เมื่อเวลา 11.00 น. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้เสนอความเห็นไปยังศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. เป็นโมฆะหรือไม่ และการกระทำของ กกต.ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ เนื่องจากรายงานตัวเลขนับคะแนนเลือกตั้ง จำนวนผู้มาใช้สิทธิยังมีตัวเลขต่างกัน ทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าผลการเลือกตั้งจาก 92,230 หน่วยอาจไม่ตรงกัน ถูกสาธารณชนและพรรคการเมืองขอให้ กกต.เปิดเผยผลคะแนนทุกหน่วยเลือกตั้ง โดยลงประกาศในเว็บไซต์เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบ ไม่ใช่ให้ผู้สมัครแต่ละเขตไปยื่นคำร้อง และชำระค่าคัดสำเนาเอกสาร เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุค 4.0 ควรเลิกการใช้สำเนา แม้ว่า กกต.จะสั่งให้เลือกตั้งใหม่ 6 หน่วยเลือกตั้งใน 5 จังหวัดยังไม่ทำให้สิ้นสงสัยกรณีผู้มาใช้สิทธิและจำนวนบัตรแตกต่างกันอยู่ 9 คน
อัดนับแต้มคลาดเคลื่อน-มีบัตรเขย่ง
นายเรืองไกรกล่าวอีกว่า กรณีผู้ใช้สิทธิและผลการนับคะแนนที่คลาดเคลื่อนหรือบัตรเขย่งตามที่สำนักงาน กกต. ชี้แจงว่าเกิดจากยังนับคะแนนไม่แล้วเสร็จ เป็นการนับคะแนนเพียงแค่ 90 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าการนับคะแนนอาจไม่เป็นไปตามระเบียบ กกต. และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 117 มาตรา 120 มาตรา 123 เพราะการนับคะแนนต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ห้ามหยุดพัก นอกจากนี้ กกต.ยังระบุว่าความคลาดเคลื่อนส่วนหนึ่งเกิดจากยังไม่ได้นำคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า รวมถึงเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรอีกกว่า 2 ล้านใบมานับรวม จึงมีเหตุสมควรให้ผู้ตรวจส่งเรื่องให้ศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยเร็ว ก่อนที่ กกต.จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งวันที่ 9 พ.ค. ที่มาร้องกับผู้ตรวจการแผ่นดิน เพราะมีบทบาทต่อการวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะถึง 2 ครั้ง ครั้งนี้อยากให้ผู้ตรวจแยกส่งให้ศาลปกครองวินิจฉัยกรณีที่ กกต.กระทำขัดต่อระเบียบ และส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
อนค.นครปฐมร้องนับคะแนนใหม่
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่สำนักงาน กกต. นายรณวิต หล่อเลิศสุนทร รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พร้อม น.ส.สาวิกา ลิมปะสุวัณณะ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 นครปฐม ยื่นหนังสือถึง กกต. ขอให้นับคะแนนใหม่ในเขต 1 นครปฐม โดย น.ส.สาวิกากล่าวว่าผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ตนได้รับคะแนน 35,615 คะแนน เป็นลำดับสอง ส่วนลำดับที่ 1 ได้ 35,762 ห่างกัน 147 คะแนน ระหว่างนับคะแนนช่วงกลางคืนเกิดเหตุระบบล่มและยุติการนับ ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 12 ต.นครปฐม อ.เมืองนครปฐม ที่หน่วยดังกล่าวระหว่างขานคะแนนผู้สังเกตการณ์ไม่สามารถเห็นการขานคะแนนและบอร์ดเขียนคะแนนได้ชัด หลายหน่วยเลือกตั้งหลังปิดหีบรวมคะแนนแบบขีดคะแนนไม่ตรงกับการรายงานผลการนับคะแนน ผู้สังเกตการณ์ของพรรคได้รายงานว่าวันเลือกตั้ง 24 มี.ค. ในเขตเลือกตั้งที่ 1 หีบบัตรไม่มีสายรัด ที่ผ่านมา เคยไปยื่นต่อ ผอ.เขต 1 นครปฐมขอตรวจสอบคะแนน แต่ ผอ.เขตระบุว่าเป็นความลับ ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ภายหลัง กกต.กลางได้แจ้งว่าเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน จึงได้รับผลคะแนนมาตรวจสอบ พบว่าคะแนนของตนพลิกกลับมานำ 151 คะแนนเป็นที่หนึ่ง จึงขอให้ กกต.นับคะแนนใหม่เพื่อความยุติธรรม
คนส. ท้า กกต.ฟ้องหมิ่นฯให้ทั่วถึง
นายอนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) เปิดเผยว่า ข้อกังขาจากสังคมไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้มาใช้สิทธิไม่ตรงกับผลคะแนนที่ออกมา การคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่ยังไม่ชัดเจน แต่ กกต.กลับแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนที่แชร์ข้อมูลยื่นถอดถอน กกต. และนักศึกษาที่วิพากษ์วิจารณ์ กกต. ผู้ที่ลงชื่อถอดถอนผ่าน Change.org มีมากถึง 8.4 แสนชื่อ กกต.กลับสุ่มเลือกดำเนินคดีไม่กี่คนที่ไม่มีสถานะใดๆ มาปกป้องตัวเองได้ซึ่งไม่เป็นธรรม วันที่ 10 เม.ย. คนส.จะรวมตัวพากันไปที่สำนักงาน กกต.นำรายชื่อนักวิชาการ คนส.ที่ร่วมเข้าชื่อถอดถอน กกต. ยื่นให้ กกต.แจ้งดำเนินคดีเพื่อความเสมอภาค แต่ถ้า กกต.ไม่ฟ้องจะขอให้ถอนฟ้องคดีทุกคนที่ตกเป็นผู้ต้องหา รวมทั้งจะเรียกร้องให้ กกต.เปิดเผยผลการเลือกตั้งที่ชัดเจนด้วย
“บิ๊กตู่” ร่วมงานวันกองทัพอากาศ
เมื่อเวลา 19.00 น. ที่อาคารรณนภากาศ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช ถนนพหลโยธิน เขตสายไหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.เป็นประธานงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันกองทัพอากาศ ประจำปี 2562 โดยมี พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผบ.ทอ.ต้อนรับและมี ผบ.เหล่าทัพ อาทิ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช. กลาโหม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.อดีต ผบ.ทอ. เอกอัครราชทูต และอุปทูตประเทศต่างๆให้เกียรติร่วมงาน ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมไม่ได้มาร่วมงาน นายกฯ กล่าวสุนทรพจน์ตอนหนึ่งว่าขอชื่นชมและขอขอบคุณกำลังพลทหารอากาศทุกคนที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ด้วยความวิริยะอุตสาหะ ทุ่มเทและเสียสละ จนสามารถปฏิบัติภารกิจในทุกด้าน ที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี