การเมืองไทย ประชาธิปัตย์ กับ เพื่อไทย คือคู่แข่ง คู่กัด คู่ขัดแย้งกันมาช้านาน หลายสิบปีมานี้เรียกว่าเป็น “ไม้เบื่อไม้เมา” แต่หากพูดถึงพรรคที่เปรียบเสมือน “โซ่ข้อกลาง” เข้า(ร่วม)กับพรรคไหนก็ได้ ตอนนี้ที่น่าจับตาคือ “ภูมิใจไทย”

การเลือกตั้งยิ่งงวดเข้ามา การเมืองยิ่งร้อนแรงดุเด็ดเผ็ดมัน โดยเฉพาะการ “ย้ายพรรค” อดีต ส.ส.หลายคนมองหาพรรคใหม่ และอดีต ส.ส.หลายคนเลือก ซบอก “เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

ภูมิใจไทยถูกจับตาในฐานะ “พรรคร่วมรัฐบาล” เพราะมักจะกำเสียงสำคัญในการตั้งรัฐบาล ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้จุดมุ่งหมายเป็นอย่างไร เป็นหนึ่งในพรรค “พลังดูด” จริงหรือไม่

ซึ่งวันนี้ “การเมือง The Series” ก็ไม่พลาดที่จะเชิญมาจับ “เสี่ยหนู” มาจับเข่าคุย ถึงเรื่องราวเบื้องหลังของภูมิใจไทย ความพร้อม และท่าทีล่าสุด ว่าเขาจะสนับสนุนใครเป็นนายกฯ คนต่อไป

หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้กล่าวอย่างติดตลก ในช่วงแรกว่า ตั้งแต่มีการยึดอำนาจ โดย คสช. 5 ปีที่ผ่านมา ก็ใช้ชีวิตปกติ ทั้งส่วนตัวและการเมือง เพราะพรรคเรายังอยู่ไม่ได้ถูกยุบ เรายังคงเก็บข้อมูลมาโดยตลอด แต่ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะใช้เวลาเกือบ 5 ปี

...

“4-5 ปี นานมั้ยก็ไม่นานนะ แป๊บๆ เวลาก็ผ่านไป มันทำให้เรามีเวลาคิดเยอะ ได้หารือ พูดคุยเพื่อนฝูง รวมรวบปัญหาทุกอย่างเตรียมมาทำเป็นนโยบาย... เมื่อการเลือกตั้งจะมาถึง เราก็พร้อมทันที!”

หวังเลือกตั้งไม่โมฆะ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย 

นายอนุทิน กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นอีกครั้งที่อาจจะได้เข้าสภาเป็นผู้แทนราษฎร (หัวเราะ) เพราะครั้งที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2557 ที่มีการเลือกตั้ง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ แต่การเลือกตั้งครั้งนั้นกลับถูกประกาศให้เป็นโมฆะ เสียก่อน แต่เท่าที่หยั่งคะแนนในปีนั้น แม้จะไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ แต่ทราบว่ามีคะแนนเสียงเพียงพอที่จะได้รับการเลือกตั้งเข้าไป เพราะตนเป็นสมาชิก ปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่ 1

“หวังว่าเที่ยวหน้าที่จะถึงนี้คงไม่โมฆะ ด้วยความตั้งใจ นโยบาย ความมุ่งมั่นของภูมิใจไทย คิดว่ามีโอกาสที่จะได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจ”

นายอนุทิน วิเคราะห์ว่า สาเหตุที่ประเทศที่ยังเป็นแบบนี้เพราะ ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม มีกระบวนการที่ทำให้เชื่อว่าแต่ละฝ่าย แม้จะกระทำสิ่งเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับไม่เท่ากัน ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นต้นเหตุของการไม่ยอมรับ เกิดความขัดแย้ง ความไม่มั่นคงของการเมือง เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2549 ตั้งแต่ปฏิวัติ โดย คมช. ถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 12 ปีแล้ว ทำให้สภาพของสังคมเศรษฐกิจ การอยู่ดีกินดี ไม่มั่นคง ทำให้ต่างประเทศลงทุนในประเทศเราน้อยลงไป

“ภูมิใจไทยมีความเชื่อว่า จะต้องเล่นการเมืองให้น้อยลง การชิงดีชิงเด่น การเอาชนะกันเพื่อให้ได้อำนาจรัฐ เป็นสิ่งที่สภาวะปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง ด้วยเหตุนี้ จึงตั้งใจว่าเราจะมุ่งหาเสียง ภายใต้สโลแกน “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิที่เขาพึงมี โดยไม่มีใครมาขวาง เช่น ขวางการทำมาหากิน แล้วผิดกฎหมาย โดยไม่ได้เป็นการลดอำนาจราชการ เพียงแต่ลดกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นการรอนสิทธิ์ของพี่น้องประชาชน

ปีนี้เข้าสู่ปีที่ 10 เราเชื่อมั่นในความสงบ สันติ ซึ่งถือเป็นแนวทางของพรรค เราไม่ใช่คู่ขัดแย้งของใคร เรามีความตั้งใจแก้ปัญหาบ้านเมือง หวังว่าจะมีส่วนร่วมในการลดความขัดแย้ง ทำให้คู่ขัดแย้งทุกฝ่ายได้เห็นประโยชน์ของบ้านเมือง มากกว่าประโยชน์ของตนและพวกพ้อง

คนกลางคือหน้าที่ ไม่ใช่การเสนอตัว คู่ขัดแย้งมักตกลงกันไม่ได้

เสี่ยหนู กล่าวต่อว่า เมื่อมีคู่ขัดแย้งที่ชัดเจน กาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าคู่ขัดแย้งไม่สามารถพูดคุยกันได้ ดังนั้น จึงน่าจะมีคนกลางสักคนที่คอยประสานให้เกิดการปรองดอง เพราะประเทศไทยจากนี้ไปไม่มีทางอื่นที่จะทำให้เจริญเติบโตเข้มแข็งในทุกๆ ด้านได้ จนกว่าคนในชาติจะไม่แยกฝ่าย ที่โชคดีคือทุกกลุ่มมีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ภูมิใจไทย ขอเสนอตัวเป็นโซ่ข้อกลาง..หากมีความขัดแย้ง “ไม่ต้องเสนอตัว แต่มันเป็นหน้าที่...เป็นภารกิจของคนที่จะทำงานในการเมือง หากทำแล้วประเทศชาติไป เศรษฐกิจมั่นคง ประชาชนอยู่ดีกินดี ถือเป็นภารกิจหลักของคนอาสาที่มาทำงานการเมือง สุดท้ายแล้วต้องดูผลการเลือกตั้ง ว่าที่ยืนของภูมิใจไทยจะอยู่ตรงไหน..

ไม่เคยใช้เงินฟาดหัวใคร ดูดใครเข้าพรรค

การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้านี้ นายอนุทิน ได้หวังว่า ทุกฝ่ายจะต่อสู้อย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะมีการชกใต้เข็มขัด ขณะเดียวกัน พรรคเรามั่นใจว่าจะคัดสรรบุคลากรทางการเมืองที่ไม่มีแผล หรือ สิ่งที่น่ารังเกียจ หรือ เปิดช่องให้เล่นนอกกติกา คนเหล่านี้กว่าจะเข้ามาเป็นผู้สมัครของภูมิใจไทย เรามีกระบวนการมากมาย เราจะเลือกบุคคลที่น่าชื่นชม เป็นที่ชื่นชอบในแต่ละเขตลงสมัคร เราหลอกประชาชนไม่ได้ เราจะไม่เลือกคนที่ไม่มีพื้นฐานการเมืองเลยลงสมัคร

ด้วยที่ตั้งนโยบายแบบนี้หรือเปล่า ภูมิใจไทยจึงกลายเป็นพรรคหนึ่งที่เป็นพรรค “พลังดูด” ในการเลือกตั้งครั้งนี้ นายอนุทิน ตอบสวนทันควัน “ถ้าจะดูดได้ก็มีแต่หัวหน้าพรรคเท่านั้น แต่หัวหน้าพรรคคนนี้ไม่เคยดูดใคร.. ผู้สมัครจากพรรคอื่นๆ นั้น ส่วนใหญ่รู้จักคุ้นเคยกัน เคยทำงานร่วมกันมาในอดีต ความสัมพันธ์ยังไม่ห่างหาย มีความจำเป็นบางประการ ที่ต้องแยกทางกันเดินบ้าง เมื่อเขาเห็นว่าพรรคภูมิใจไทย มีความมุ่งมั่น และหากเห็นว่าพรรคภูมิใจไทยสามารถช่วยเหลือพัฒนาชาติได้ เขาก็มาร่วม ส่วนใหญ่เป็นการคุยกัน

“ก็แค่ชวนมาช่วยงานกันหน่อย ทำเพื่อบ้านเพื่อเมือง ไม่มีอะไรให้ นอกจากโอกาสที่จะไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คนที่เชื่อถือ ก็เข้ามาร่วมงาน การทำการเมืองด้วยวิธีเก่าๆ ด้วยการทุ่มใช้เงินฟาดหัวใคร ยุคนี้ใช้ไม่ได้หรอกครับ เพราะทุกคนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ตลอดเวลา นี่คือ..ตัวชี้วัดว่า แม้กระทั่งผู้ที่เคยเป็นนักการเมือง ผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว ที่เจนสนาม ก็ยังมาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย ไม่น้อยทีเดียว”

นายอนุทิน มองว่า การย้ายพรรคถือเป็นเรื่องปกติ แต่เรายังมีความเชื่อว่า คนเหล่านี้ยังได้รับความนิยม ถ้าเขาเป็นคนไม่ดี ไม่มีคุณงามความดีอยู่เลย เป็นไปไม่ได้ที่เขาเหล่านี้จะยังเป็นที่รักและชื่นชมของชาวบ้าน ถึงตอนนี้ เรามั่นใจ 100% ว่าเราจะได้ ส.ส.เพิ่มขึ้นจากเดิม ภูมิใจไทยผ่านการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ตอนนั้นประสบการณ์ยังน้อย เราได้มีการจัดระเบียบบริหารพรรคใหม่ เรามีการเพิ่มอำนาจให้ผู้บริหารพรรค เราเปิดโอกาสให้คนนอกการเมืองได้เข้ามา...เมื่อก่อนชวนใครเข้าพรรคก็ไม่มีใครมา แต่ตอนนี้มีบุคคลมากมาย ต่างวัยต่างอาชีพ สนใจเข้ามาช่วยพรรค

“พรรคเราไม่หลอกประชาชน จะมาบอกว่า รอให้ครบ 90 วันก่อนได้มั้ย..ผมตอบเลยว่าไม่ได้ ใครอยากมาก็ต้องมาเลย แทงเต็งมาเลย อย่าแทงกั๊ก พิสูจน์ให้เห็นเลยว่าจะมาก็ต้องมาเป็นสมาชิกพรรคก่อน”

ไม่กลัวผิดใจทักษิณ เพื่อไทย ถ้าใจนักเลงพอย่อมเข้าใจ

กลัวผิดใจกับใครมั้ย เช่น ส.ส.เพื่อไทยก็มา นายอนุทิน เสียงเข้ม ตอบฉะฉานว่า นี่คือการต่อสู้ในทางการเมือง คนที่ทำงานกับพรรคภูมิใจไทยต้องมีความศรัทธาต่อภาพรวม นโยบายพรรค ภาษาชาวบ้านถ้าคนมีจิตใจนักเลง (ใจกว้าง ยอมรับความจริง) ก็ไม่มีอะไรผิดใจกัน ถือว่าเป็นการแข่งขันเพื่อทำประโยชน์ให้บ้านเมือง ถ้าทำแบบนี้แล้วใครไม่พอใจ ไม่เข้าใจ ถ้าคิดว่าเป็นการผิดใจ ก็คงมีปฏิกิริยาได้แค่ฝั่งเดียว เราคงไม่โต้ตอบ หรือ นำเอามาเป็นสาระสำคัญเพราะเราก็อยู่ของเราแบบนี้ เราอยู่แบบนี้มา 10 ปีแล้ว ไม่ได้ออกไปฉกใครมาจากบ้านใคร เราอยู่เฉยๆ เขามาหาเราเอง ส่วนใครจะโกรธก็ถือว่าไม่มีน้ำใจนักกีฬา ไม่มีความเป็นนักเลง ใครจะคิดอย่างไรก็ตาม ฝ่ายเราเกิดทำให้เขาไม่พอใจ โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็คงไม่เสียเวลามานั่งชี้แจงหรือตอบโต้ เราทำในสิ่งที่เราควรทำ ทางที่ดี คือ อดทน เดี๋ยวไม่นานมันก็ผ่านไป เรามั่นใจว่าเราทำดีที่สุด อยู่ในบ้านของเราเอง เราจะไม่ออกไปท้าทายหรือยินดียินร้ายกับพรรคอื่น

กลัวคุณทักษิณโกรธมั้ย... ไม่เคยกลัว! หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ตอบทันที ก่อนสาธยายต่อว่า ท่านให้ความเมตตาในฐานะลูกน้องเก่า หากจะเปรียบเทียบง่ายๆ คือ เวลาเราตีกอล์ฟกัน เราก็แข่งกันเต็มที่ ทุกคนอยากได้เบอร์ดี้ พาร์ หรือ อีเกิล สมมติว่าคุณกำลังจะได้ตีอีเกิล ซึ่งเป็นการตีในรอบหลายๆ ปี จะได้ตีแบบนี้ครั้งเดียว เราก็คงไม่กลัวคนร่วมก๊วนคนอื่นจะมาเกลียดหรืออิจฉา ต่อให้เกลียดหรืออิจฉา เราก็ต้องตีให้ได้อีเกิลอยู่ดี เพราะถือว่าเป็นโอกาสของเรา แล้วถ้าคนในก๊วนเราด้วย ก็ควรจะชื่นชมยินดีที่เรามีความสามารถ ไม่ควรโกรธหรือไม่พอใจ ถ้าเขาเป็นเช่นนั้น มันก็จะดูผิดกติกาสังคม ไปพูดให้ใครฟังก็คงไม่มีใครคิดว่าเขาเป็นฝ่ายถูก

"เราเคารพท่านตลอดเวลา แต่พูดคุยทางการเมืองไม่มี ในเทศกาลต่างๆ ก็ส่งข้อความอวยพรกัน เราทำได้แค่นี้ ไม่ได้มีความเกลียดชัง หรือ เคารพน้อยลงกว่าสมัยที่ท่านเป็นผู้บังคับบัญชา แต่บทบาทมันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา"

ยินดี ลุงตู่ จะลงเลือกตั้ง ลั่นกติกาแบบไหนก็พร้อมสู้ 

นายอนุทิน ยังกล่าวถึง กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. อาจจะลงเล่นการเมืองว่า ถือว่าเป็นสิทธิ์ ณ วันเลือกตั้งท่านก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง ที่เสนอตัวรับใช้บ้านเมือง ก็ถือเป็นสิทธิ์ของท่าน ไม่ใช่หน้าที่เราจะมาบอกว่าถูกหรือไม่ ถ้าใครคิดว่าตรงนี้เป็นคนนอกหรือใน แต่ถ้าท่านมาตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ ก็ถือว่าเป็นคนใน ส่วนจะชนะหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับประชาชนมองว่าจะทำประโยชน์ หรือ จุดยืนที่มั่นคงได้หรือไม่

“ลุงตู่เลือกตัวเองมาเป็นผู้แทนไม่ได้ ลุงตู่ก็ต้องให้ประชาชนอุ้มท่านขึ้นมา จะมาเป็นตำแหน่งอะไรก็แล้วแต่ ผู้แทน หรือ นายกฯ คนต่อไป หากประชาชนอุ้มเข้ามา ก็มีสิทธิ์ที่จะรับตำแหน่งอะไรก็ได้”

หลายๆ พรรคกังวลเรื่องกติกา การเลือกตั้ง เช่น ม.44 ภูมิใจไทยกังวลมั้ย นายอนุทิน กล่าวว่า เราไม่กังวล เพราะภูมิใจไทยประกาศมาตั้งแต่ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังเป็นร่าง เรายินดี จะทำตามกติกาในรัฐธรรมนูญทุกประการ เพราะเราจะไม่ทำผิดกฎหมาย เราจะทำตามกรอบรัฐธรรมนูญ ไม่ว่ากติกาแบบไหนก็พร้อมที่จะสู้ทุกอย่าง

บทบาท เนวิน กับ พรรคภูมิใจไทย  

นายอนุทิน กล่าวถึง นายเนวิน ชิดชอบ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของภูมิใจไทยว่า ท่านไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ผมโน้มน้าวทุกวัน ว่าคนมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์มากมาย ไม่ควรทอดทิ้งการเมือง หากท่านจะทำงานการเมืองท่านก็ต้องมาที่ภูมิใจไทย แต่..ท่านก็บอกแล้วว่าไม่เอา..เบื่อ ผมก็บอกว่า “ความคิดของท่านแต่ละอย่าง โมเดลที่เคยทำ เช่น บุรีรัมย์โมเดล ที่เคยเกือบเป็นเมืองร้าง ที่เป็นเมืองที่ไม่มีใครคิดจะแวะ สมัยก่อนถามว่าไปบุรีรัมย์ทำอะไร บอกกินข้าวขาหมู ไม่มีใครบอกเลยว่าอยากไปเที่ยวบุรีรัมย์หรือหาความสุข

ภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี เมืองที่เคยไม่มีใครสนใจ เป็นแค่เมืองแวะแก้หิว แก้ง่วง กลายเป็นเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทาง มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัย โรงแรมไม่พออยู่ มีงานกีฬาระดับโลก มีการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ซึ่งตนเองก็เคยไปช่วยงานร่วมกับคุณเนวิน ทำงานให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ทำให้เมืองบุรีรัมย์ซึ่งเป็นบ้านเกิดของสมาชิกหลักๆ ภูมิใจไทย ได้มีเอกลักษณ์ ซึ่งเคยมี ส.ส.ถึง 9 คน เราแสดงให้เห็นว่า ถ้าเรามีความตั้งใจเราสามารถทำได้

“ผมเองอยากให้ท่านมาช่วยทำงาน แต่ท่านคงไม่มาช่วยในฐานะผู้บริหาร หรือผู้สมัคร ส.ส. สิ่งที่ผมต้องการคือ สมอง ความมุ่งมั่น พลังในการขับเคลื่อน แต่ถ้าท่านเข้ามาท่านก็ต้องสมัครสมาชิกพรรค เป็นสมาชิกก็ต้องทำประโยชน์ให้กับพรรค อย่างไรก็ตาม พรรคเราก็มีน้องชายท่านเนวิน (ศักดิ์สยาม ชิดชอบ) เป็นเลขาธิการพรรค เราทำงานกับแบบมืออาชีพ ไม่ได้มองว่าเป็นพี่น้อง สนิทกัน เรามาจากการคัดเลือกของสมาชิกพรรค ไม่ได้แต่งตั้งตัวเอง ตรงไหนมีองค์ความรู้ ประสบการณ์ ในฐานะหัวหน้าพรรค เราต้องควานหามาช่วยงานพรรคในรูปแบบต่างๆ”

สิ่งที่เราต้องการจากท่านคือ สมอง ประสบการณ์มาช่วย แต่ “มันสมองของท่าน ประสบการณ์ของท่าน แต่ไม่ใช่หัวใจของพรรคภูมิใจไทย เป็นการเสริมให้ภูมิใจไทยได้มีเครือข่าย ได้มีตัวอย่างของความสำเร็จที่เคยทำไว้ในอดีตเป็นตัวขับดัน ใช้สไตล์ทำงาน ทุ่มเท กล้าตัดใจ ซึ่งการทำงานการเมืองก็ต้องมีแบบนี้บ้าง.. เราปรึกษาการเมือง ท่านเนวินผมได้มาฟรี หนิ ผมไม่ต้องเสียเงินสักบาท เราแค่เอาข้อคิดของท่านมาปฏิบัติ อาจจะมาตัด เติม แต่งบ้าง เรื่องปัญหาปากท้อง ท่านก็พูดกรอกหูผม กรอกหูน้องชาย ว่าการแก้ปัญหาปากท้องอย่าเอาวัตถุนิยมเป็นที่ตั้ง คิดถึงอย่างเดียวว่าจะทำให้มีเงินเก็บ มีงานทำ มีข้าวกิน มีความมั่นคงในชีวิตพอสมควร

“นี่ไม่ใช่อิทธิพลหรือคำสั่ง แต่มันมาจากการพูดคุยในวาระต่างๆ เมื่อเอามารวมกันก็ดูดีมีประโยชน์ หลายๆ คนคิด กลายเป็นสูตรอีกสูตรหนึ่งที่ดูดีมีประโยชน์”

อนุทินคิด อนุทินทำ ไม่ใช่ เนวินคิด อนุทินทำ ถ้าประชาชนหนุนพร้อมเป็นนายกฯ! 

เมื่อก่อนเพื่อไทยมีสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” วันนี้ ภูมิใจไทยจะมี.. “เนวินคิด อนุทินทำ ไม่มี มีแต่อนุทินคิด อนุทินตัดสินใจ ร่วมกับพรรคภูมิใจไทย ส่วนอนุทินจะเอาองค์ความรู้มาจากไหน อ่านหนังสือ เปิดกูเกิล หรือปรึกษากับผู้ประสบความสำเร็จในอดีต ปรึกษาคนรู้จัก ถือเป็นสิทธิ์ของนายอนุทิน แต่สุดท้ายแล้วการตัดสินใจ จะต้องเริ่มที่ตัวหัวหน้าพรรค หารือกับกรรมการบริหารพรรคทุกท่าน”

อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีบ้างไหม นายอนุทิน กล่าวอย่างสุขุมว่า..คนที่มาเล่นการเมืองก็หวังที่จะได้รับตำแหน่งที่สามารถสั่งการในเชิงนโยบายได้ ฉะนั้น นักการเมืองทุกคนต้องทำการเมือง เพื่อให้ได้ไปสู่การทำประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่แค่ว่าเป็น ส.ส. อย่างเดียว รับสิทธิ์ต่างๆ พรรคอื่นไมรู้ว่าเป็นไง แต่พรรคภูมิใจไทยไม่มี ใครที่คิดแบบนั้นผมจะเตะออกจากพรรคภูมิใจไทย โดยที่ไม่เสียดายเลย ว่าจะเสียที่นั่งในสภา

“ถ้ามีคนแบบนั้นในพรรคภูมิใจไทย ขอเวลาไม่เกิน 3 วัน ผมจะกำจัดคนแบบนั้นให้พ้นพรรคภูมิใจไทย”

อยากเป็นนายกฯ มั้ย... นายอนุทิน นิ่งสักครู่ ก่อนตอบว่า “ผม...ก็เคยคิด ถ้าทำได้ ทำได้หรือยัง ทำได้คือ การทำงานอย่างขยันขันแข็ง ต้องคิดอะไรที่เป็นประโยชน์ หากวันหนึ่งประชาชนให้ความมั่นใจ แล้วสั่งให้ต้องทำงานใหญ่ให้กับบ้านเมือง ซึ่งคำสั่งของประชาชน คือ คะแนนที่จะมอบให้ ถ้าวันนั้นมา...เพราะเราไม่ได้เป็นตัวเราเอง เราไม่สามารถแต่งตั้งตัวเองได้ ผู้กำหนดสั่งให้เราเป็นอย่างไรก็อย่างนั้น"

แต่ถ้าเกิดต้องถือคะแนนสำคัญ สามารถโหวตใครขึ้นเป็นนายกฯ ได้ นายอนุทินจะเลือกจากอะไร หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ทุกอย่างมาจากลำดับความสำคัญ 1.ประเทศ 2.ประชาชน 3.ความชอบธรรม 4.ต้องถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดศีลธรรม ประเพณี ที่ควรจะเป็น อธิบายแล้วทุกคนยอมรับในการตัดสินใจของเรา..ส่วนจะเลือกใคร พรรคไหน ให้รอดูผล

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน