ปลดทีละขยัก อุปสรรคเลือกตั้ง
สุดท้าย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ รับหน้าเสื่อจัดประชุมกับบรรดาตัวแทนพรรคการเมืองปลายเดือนมิถุนายนนี้
ผ่องถ่ายการเผชิญหน้า และไม่ต้องให้การยืนยันจากเสียงเรียกร้องจากพรรคการเมืองที่ต้องให้ คสช.ทำอย่างนั้นอย่างนี้
เท่ากับทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ “ปลอด” จากการที่จะต้องขัดแย้งกับพรรคการเมืองต่างๆ
พูดง่ายๆว่าไปรับฟังเสียงเรียกร้อง และข้อเสนอแนะต่างๆ
เอา ไม่เอา หรือยอม ไม่ยอม ก็เอากลับมา เพื่อให้ คสช.ไปพิจารณาตัดสินใจอีกทีหนึ่ง โดยมีนายกฯ คสช.เป็นประธาน
อีกทั้งในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศตัวเป็น “นักการเมือง” เต็มตัวแล้ว ดังนั้นการไม่ผูกพันต่อกฎ กติกาต่างๆย่อมดีกว่า
ทุกวันนี้ก็ต้องเจอ “พิษปาก” นักการเมืองทุกวันอยู่แล้ว
มีการเรียกร้องให้ คสช.ปฏิรูปการเมืองต้องทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้ว่ากันเป็นชุดความคิดแบบว่า ถ้าไม่ทำอย่างที่พวกเขาคิดเป็นผิดทำนองนั้นแหละ...
วันนี้พรรคการเมืองที่แสดงบทบาทในบรรยากาศการเมืองเป็นรายวันนั้น จะมี 2 พรรคการเมืองเป็นตัวหลัก และก็มีพรรคการเมืองใหม่บางพรรคต่างก็แสดงออกทางการเมืองเป็นวาระพิเศษ
หยิบตำรา แนวคิดและสร้างวาทกรรมทางการเมือง
ว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องผิดเรื่องถูกเป็นวิธีทางการเมืองวิธีหนึ่งที่นิยมใช้ สำหรับพรรคการเมือง นักการเมืองของไทย
ทว่าสิ่งที่ขาดหายไปนั้น และเป็นเรื่องสำคัญอีกด้วย หรือนโยบายที่ชัดเจน และเป็นรูปธรรมว่าหากเข้ามามีอำนาจแล้ว
จะทำอะไรให้ประเทศชาติ ทำอะไรให้ประชาชนกันบ้าง
ผมว่านะครับ...เรื่องนี้ผมว่าประชาชนคนไทยอยากรู้อยากเห็นอยากฟังเพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงคะแนนเลือกพรรค การเมืองนั้น หรือนักการเมืองคนนั้น
...
แต่เมื่อไม่ได้เห็น ไม่ได้รู้ ไม่ได้รับฟัง ถามว่าพวกเขาคิดอย่างไรหากเอาความจริงมาพูดก็น่าพูดได้ว่ามีความรู้สึก “ว้าเหว่” มากกว่าที่จะทำให้รู้สึกกระตือรือร้นในทางการเมือง
อย่างที่เคยมียุคสมัยหนึ่งที่ทำให้คนไทยเข้าถึงได้คือ “โกงได้ แต่ต้องเอามาแบ่งปันกัน” เป็นทัศนคติที่ผิดแต่คนรับกันได้
ถ้านักการเมืองไทยเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ไปสู่สิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อชาติประชาชนได้อย่างแท้จริง
นั่นคือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด
ไม่รู้ว่าพรรคการเมืองแต่ละพรรคมีแนวคิดและทิศทางด้านนโยบายอย่างไรกันบ้าง อย่าอ้างเพียงว่า คสช. ยังไม่ปลดล็อกให้ก็เลยทำอะไรไม่ได้
จริงๆแล้วหากทุกพรรคมีนโยบายและคิดว่าดีและต้องการดำเนินการหากมีโอกาสเข้าไปมีอำนาจก็สามารถบอกกล่าวต่อสังคมได้แล้ว
ไม่ได้มีกฎกติกาห้ามเอาไว้แต่อย่างใด
นี่จึงเป็น “จุดอ่อน” ของพรรคการเมืองไทยที่ขาดนักคิด ขาดความรอบรู้ในสิ่งที่ควรจะเป็นและจะต้องทำในฐานะพรรคการเมือง
หากคิดแต่จะเล่นลิ้น สร้างวาทกรรมทางการเมือง เปิดปมประเด็นขัดแย้งทางการเมืองอยู่ทุกวันอย่างนี้
ไม่ได้ช่วยให้ชนะเลือกตั้ง ไม่ได้ช่วยชาติและประชาชนแต่อย่างใด.
“สายล่อฟ้า”