ผ่าตัวแปรโรดแม็ป “อำนาจ” คสช.เปลี่ยนผ่าน

ล็อกถล่ม พลิกความคาดหมาย

ผลการเลือกตั้งใหญ่ของประเทศมาเลเซีย เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง ที่พรรคฝ่ายค้าน “ปากาตัน ฮาราปัน” ที่นำโดยนายมหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรี กวาดเก้าอี้เข้าป้ายแบบหักปากกาเซียน

มีชัยเหนือแนวร่วมแห่งชาติบีเอ็น ที่มีนายนาจิบ ราซัค นายกฯมาเลเซีย เป็นหัวหอก ต้องแถลงรับความพ่ายแพ้อย่างบอบช้ำ

นับเป็นการสิ้นสุดช่วงเวลา 6 ทศวรรษที่มาเลเซียอยู่ภายใต้การปกครองของแนวร่วมแห่งชาติบีเอ็น

ขณะที่ “มหาธีร์ โมฮัมหมัด” หวนคืนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยวัย 92 ปี

ทำสถิติเป็นผู้นำที่อายุมากที่สุดในโลก

แน่นอน โดยปรากฏการณ์พลิกขั้วทางการเมืองของมาเลเซียครั้งใหญ่ มันต้องมีเอฟเฟกต์ต่อยุทธศาสตร์การเมืองในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงสถานการณ์ดุลอำนาจโลก

ตามรูปการณ์ที่มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา จีน ต่างมุ่งใช้เป็นฐานกุมสภาพยุทธศาสตร์

โดยแนวโน้มนโยบายด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ ของมาเลเซีย คงต้องยกเครื่องใหม่ เพราะ “มหาธีร์” มีจุดยืนตรงข้ามกับนายนาจิบ ราซัค อย่างชัดเจน

และนั่นก็เป็นอะไรที่รัฐบาลไทยคงต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ทั้งในมุมของความมั่นคง สถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง คงต้องมีการพบปะพูดคุยกับรัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซียคนใหม่

แต่ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าก็คือในมุมของยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ ตามรูปการณ์ที่มืออาชีพระดับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี น่าจะประเมินผลบวกผลลบต่อประเทศไทยไว้ล่วงหน้าแล้ว

ตามแนวโน้มจุดเปลี่ยนสำคัญของมาเลเซียที่มีต่อจีนและสหรัฐอเมริกา

...

ทั้งหมดทั้งปวง โดยธรรมชาติการเมืองมาเลเซียที่ใกล้เคียงการเมืองไทย ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่มิตรกลายเป็นศัตรู จากศัตรูพลิกมาเป็นมิตร

ใครจะคาดคิดว่า ถึงวันหนึ่ง “มหาธีร์” จะเป็นคนที่ทำลายพรรคอัมโนของตัวเอง ที่ครองอำนาจมายาวนานกว่า 60 ปี และหันไปจับมือกับคู่รักคู่แค้นอย่าง “อันวาร์ อิบราฮิม” อดีตแกนนำฝ่ายค้านที่เคยหักดิบถึงขั้นจับติดคุกมาแล้ว เพียงแค่เพื่อเป้าหมายโค่น “นาจิบ ราซัค” ร่วมกัน

การเมืองมาเลเซียก็ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร

ทุกอย่างอยู่ที่ผลประโยชน์เหมือนการเมืองไทยเป๊ะ

ที่แน่ๆโดยจังหวะสถานการณ์ต่อเนื่อง การเมืองมาเลเซียมีการเลือกตั้งนำร่องไปก่อนประเทศไทย

ที่กำลังเข้าสู่ห้วงท้ายเทอมรัฐบาล คสช.

จ่อเข้าโหมดเลือกตั้ง หลังรัฐบาลทหารครองอำนาจพิเศษมานานกว่า 4 ปี

ในบรรยากาศที่นักการเมืองอาชีพเริ่มเชิดฉิ่งโหมโรง แห่กระแสทวงคืนประชาธิปไตย

ตีปี๊บ โห่ไล่กดดันทหาร คสช.

และก็ตามฟอร์มที่เดาทางได้ ลูกข่าย “ทักษิณ” รีบเคลม ชิงตีกินกระแส

กระโดดโหน “มหาธีร์” ขี่ผลเลือกตั้งมาเลเซีย ไล่เบิ้ลบลัฟ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.

ตามเหลี่ยมที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อ้างการเลือกตั้งมาเลเซียเป็นบทเรียนสอนใจ ไม่ว่าจะมีอำนาจมากล้น จะยึดครองหรือบริหารประเทศ มายาวนานเพียงใด หากรัฐบาลของคณะผู้ยึดอำนาจการปกครองด้วยวิธีพิเศษไม่ได้อยู่ในหัวใจประชาชน

ถึงวันหนึ่งประชาชนจะตัดสินใจบนพื้นฐานความต้องการแท้จริงของพวกเขา

ลูกข่าย “ทักษิณ” ใช้ปรากฏการณ์เลือกตั้งมาเลเซีย เขย่า “ลุงตู่” และทีม คสช.

ชี้นำและลุ้นให้กระแสเลือกตั้งในเมืองไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

นั่นก็เพราะถึงตรงนี้ ค่อนข้างชัดเจนขึ้นเป็นลำดับว่า พล.อ.ประยุทธ์จะตีตั๋วต่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ผ่านสนามเลือกตั้ง ยกระดับความชอบธรรม เป็น “นายกฯคนใน”

เป็นหนึ่งในบัญชี นายกฯพรรค การเมือง

และกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของนักการเมืองเจ้าถิ่นมากขึ้นทุกขณะ

พรรคเพื่อไทยที่กินบุญเก่ายี่ห้อ “ทักษิณ” มานับสิบปี ยังเริ่มผวา

โดยเฉพาะกับปรากฏการณ์ล่าสุด โฟกัสจากฉากการประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดบุรีรัมย์ ฐานการเมืองใหญ่ของนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย

ได้ทั้งบริหารราชการแผ่นดิน ได้ทั้งบริหารกระแสทางการเมือง

ในอารมณ์แบบที่ “เนวิน” จัดหนัก “บิ๊กตู่” โชว์เต็ม

เป็นช็อตแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ประเดิมปราศรัยท่ามกลางประชาชนกว่า 3 หมื่นคน ชิมลางบรรยากาศการหาเสียงแบบธรรมชาติของนักเลือกตั้งอาชีพ

นั่นหมายถึงการเสริมพลังความมั่นใจที่จะเดินแต้มในช็อตต่อไป

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ด้านหนึ่งก็เป็นกระแสทีม คสช.พยายามไล่ตามดูดค่ายภูมิใจไทย

แต่อีกมุม ภาพมันก็ชัดเจนว่า เซียนยี่ห้อ “เนวิน” ก็ต้องกระโดดเกาะกระแส “ลุงตู่” เพื่อไปเบียดสู้ในสนามเลือกตั้ง หลังจากมีประสบการณ์จากเลือกตั้งรอบที่แล้ว มีแค่เงินกับอำนาจขาดกระแส แพ้ยับเยิน

ต้องพึ่งแต้มนิยม “ลุงตู่” เซียนการเมืองระดับ “เนวิน” รู้แล้วว่ายี่ห้อนี้ขายได้

ที่สำคัญ สถานการณ์ที่บุรีรัมย์ได้ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในภาคอีสาน ฐานที่มั่นของพรรคเพื่อไทย จากเดิมที่จมปลักอยู่กับกระแสยี่ห้อ “ทักษิณ” ไม่กล้าย้ายหนีไปไหน

เมื่อ “เนวิน” ทำให้เห็นแล้วว่า กระแส “ลุงตู่” ไม่ธรรมดา

สถานการณ์คงทำให้พวกที่จะหนีวังวนเก่า

แต่ไม่กล้า น่าจะตัดสินใจง่ายขึ้น

ประกอบกับกระแสดูด วาทกรรมตกเขียว ที่ขาใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์พยายามตีปี๊บประจาน แห่กระแสดักคอดักทางพรรคทหาร

ก็ไม่เป็นผล

เพราะ “สวนดุสิตโพล” ออกมาชี้ชัดเลยว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ตื่นเต้นกับกระแสดูด มองเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการเมืองไทยที่ยึดโยงอยู่กับผลประโยชน์มาทุกยุคทุกสมัย

สถานการณ์เลือดไหลของป้อมค่ายเก่ายังไม่หยุดแน่

ตามธรรมชาติของ ส.ส.ก็ต้องการความชัวร์ในระยะยาว ไม่อยากเสี่ยงไปเจอวิบากกรรม ที่สำคัญกลุ่มทุนก็ต้องเลือกแทงหวยพวกที่มีโอกาสเป็นรัฐบาล

ขณะที่เจ้าตัว พล.อ.ประยุทธ์เองก็เริ่มยอมรับสภาพความเป็นจริง การเข้าสู่อำนาจตามระบบนิเวศการเมืองแบบไทยๆจำเป็นต้องพึ่งนักการเมืองเก่า เจ้าของพื้นที่ชัวร์ๆ

บอกรับได้ทั้งแมวขาว แมวเทา แมวดำ แต่ต้องไม่ใช่แมวสกปรก

ผู้นำรัฏฐาธิปัตย์ยอม “หรี่ตา” เพื่อโอกาสในการตีตั๋วต่อเก้าอี้ผู้นำในช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศ

และประเมินตามเหตุการณ์มาถึงตรงนี้ ต้องยอมรับเส้นทางการเมืองผ่านสนามเลือกตั้งของ “นายกฯลุงตู่” กำลังไปได้ฉลุย

ผ่านด่านต้านภายนอก ฝ่าแรงเสียดทานจากนักการเมืองเจ้าถิ่นสบาย

เรื่องของเรื่อง สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ยังมองข้ามไม่ได้ก็คือแรงกระเพื่อมภายใน

ต้องไม่ลืมว่า ธรรมชาติของรัฐบาลท็อปบูตที่คุมเกมอำนาจมายาวนานกว่า 4 ปี กำลังมาถึงจุดที่เริ่มรู้สึกว่าอำนาจกำลังผ่องถ่ายไปอยู่ในมือนักการเมือง

ต้องมีอารมณ์หึงหวงอำนาจที่เสพติดกันแน่

และตามท้องเรื่องแบบที่รู้กันอยู่ว่า การก่อกำเนิดพรรคการเมืองหนุน “นายกฯ

ลุงตู่” ตีตั๋วต่อ เป็น เรื่องที่ทีมงานการเมืองของนายสมคิดในฐานะกัปตันทีมเศรษฐกิจเป็นหัวแรงใหญ่

ทีมงานทหารไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องซักเท่าไหร่

อารมณ์แบบที่พี่รองอย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ก็ปฏิเสธเสียงแข็งหน้าเครียด ไม่เกี่ยวข้องและไม่รับรู้กับการตั้งพรรคหนุน พล.อ.ประยุทธ์

อาการเดียวกับเพื่อนรักอย่าง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ ที่ยืนยันพร้อมหนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯต่อ แต่บอกปัดไม่ได้ร่วมอยู่ในกระบวนการตั้งพรรคหนุน

จากท่าทีที่สะท้อนออกมา “พี่รอง” กับ “เพื่อนรัก” อาจไม่ได้อยู่ในแผนไปต่อ

อาการกลัว “ตกขบวน” ย่อมหนีไม่พ้น

มันก็ไม่แปลกที่จะมีกระแสข่าววงใน พักหลังเริ่มมีคนของ “พี่รอง” กับทีมของ “เพื่อนรัก” ไปล็อบบี้นักการเมือง พยายามเดิมหมากเก็บแต้ม ส.ส. สะสมกำลังมาหนุน พล.อ.ประยุทธ์เหมือนกัน

แต่ปัญหาคือ ถ้า “บิ๊กตู่” ยังกระเตงเพื่อนพ้องน้องพี่ต่อไป ก็หนีไม่พ้นถูกแห่ประจานในเกมเลือกตั้ง

เข้าเหลี่ยมนักการเมือง ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ชี้เป้า “ตัวถ่วง” พากันพังทั้งทีม

และก็อย่างที่รู้ๆกัน ต่อให้ดุยังไง จุดบอดของ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ที่อาการ “เกรงใจ” เพื่อนพ้องน้องพี่

นี่แหละที่อาจจะทำให้พลาด สะดุดหัวแม่เท้าตัวเอง.

“ทีมการเมือง”