“บิ๊กตู่” รับถกโรดแม็ปกับบิ๊กกองทัพสหรัฐฯ ยกคำ “ไทยแลนด์เฟิร์ส” เทียบวลี “โดนัลด์ ทรัมป์” เชื่อมหามิตรเข้าใจดี โทร.คุย “พี่ใหญ่” ทุกวันช่วงรับศึกหนัก บอกยังอารมณ์ดี ก.ม.ลูกเลือกตั้ง ส.ส.-การได้มาซึ่ง ส.ว. ยังลูกผีลูกคน “พรเพชร” ยันตั้ง กมธ.ร่วม 3 ฝ่าย สนช.-กรธ.-กกต.สัปดาห์หน้า “มีชัย” ไม่รู้ไม่ชี้ยื้อเลือกตั้ง บอกอย่ามโนเดี๋ยวนอนไม่หลับ “ศุภชัย” ปัดสมรู้ร่วมคิดถ่วงกฎหมาย “สมชัย” ชี้เป้า ปธ.กกต.ตัวแปรสำคัญ “นิพิฏฐ์” ดักคอ สนช.เดินเกมกินรวบทั้งกระดาน คว่ำได้สำเร็จก็เป็นผลงานโบแดง พท.ขอลดราวาศอกกันบ้าง “ปู” ส่งทนายยื่นชะลอขายบ้านทอดตลาด MBK39 มาตามหมายชุมนุมสกายวอล์ก 34 คน มารับทราบข้อหา อีก 4 “รังสิมันต์-จ่านิว-อานนท์-เอกชัย” ขอผัดอ้างติดธุระ ศาลยกคำร้องขอฝากขัง 5 แกนนำ
โรดแม็ปการเลือกตั้งที่แม่น้ำ 5 สาย งัดเทคนิคทางกฎหมายยืดแล้วยืดอีก จนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ยังเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาจะเข้าใจหลังได้จับเข่าคุยกับประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐอเมริกา ยกไทยแลนด์เฟิร์สล้อคำพูดผู้นำสหรัฐฯ
“บิ๊กตู่” ไม่อยากยืดเลือกตั้งอีก
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 8 ก.พ. ที่ตึกสันติไมตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังครั้งที่ 4 ประจำปีงบประมาณ 2560 ถึงกำหนดการเลือกตั้ง ว่า วันนี้ถ้าไม่มีใครเข้ามาลงทุนประเทศก็ไปไม่ได้ พยายามอธิบายให้ต่างประเทศเข้าใจว่าบ้านเรามีศักยภาพ แต่ถ้ายังพูดจาให้ร้ายกันการค้าการลงทุนอาจหายไปทันที ศักยภาพลดลงประเทศก็โดดเดี่ยว ยืนยันว่าไม่ต้องการยืดเวลาการเลือกตั้งออกไปอีก เพราะประเทศต้องเดินหน้าต่อไป
...

ยกไทยแลนด์เฟิร์สล้อ “ทรัมป์”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ได้พบ พล.อ.โจเซฟ เอฟ ดอนฟอร์ด ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐอเมริกา ก็บอกว่าขอเวลาให้เราอีกหน่อยหนึ่งในการจัดทำกฎหมาย เขาก็เข้าใจ “ผมได้บอกว่าเราเองก็เหมือนกับสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าวคำว่าอเมริกันเฟิร์ส ผมก็ต้องมีคำว่าไทยแลนด์เฟิร์สเหมือนกัน ต้องดูแลคนของเรา ดูแลผลประโยชน์ของประเทศนี้”
คุย “พี่ใหญ่” ทุกวันที่รับศึกหนัก
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐฯ ไม่ได้สอบถามหรือกังวลเรื่องการเลือกตั้งของไทย เพียงแต่ให้กำลังใจเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย สหรัฐฯยังเข้าใจถึงความจำเป็นของไทยในวันนี้ และยังบอกกับเขาว่าเราก็มีปัญหาของเรา เราจึงต้องมีวิธีการนำไปสู่ ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งตามเวลาที่กำหนด มีอยู่สองอย่าง คือ 1.ตนกำหนด 2.กฎหมายกำหนด เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม บ้างหรือไม่หลังกลับจากประเทศสิงคโปร์ นายกฯตอบว่า คุยกันทุกวัน เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตรอารมณ์ดีขึ้นบ้างหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “อารมณ์ดีตลอด”
มท.1 สั่งเดินเครื่องไทยนิยม
ที่เมืองทองธานี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวระหว่างมอบนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน แก่ ปลัดจังหวัด นายอำเภอ ว่า การขับเคลื่อนระดับพื้นที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้นำ มีนายอำเภอเป็นนักรบ สร้างความรับรู้ให้ประชาชน หลักๆเป็นเรื่องความมั่นคง สัญญาประชาคม และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ให้ไปจัดทีมระดับตำบลแล้วโดยทหารจะขออยู่ในแต่ละทีมทีมละคน วันที่ 21 ก.พ.จะลงพื้นที่พูดคุยกับประชาชนครั้งแรก จุดใหญ่คือเรื่องของประชาธิปไตย ประเทศจะเจริญหรือไม่อยู่ที่การเมือง ถ้าได้คนบริหารที่ดีก็จะบริหารได้สอดคล้องกับประสิทธิภาพของคน เหมือนฝึกวงซิมโฟนีเราต้องไปแนวนี้ ไม่ใช่การเมืองเศษเสี้ยวที่ยึดอยู่บนหัวคะแนน แต่ การเมือง และรัฐบาลจะดีได้ต้องเลือกคนดี และคนเก่ง เราต้องสอนให้เขารู้ว่าต้องเลือกให้เป็น ไม่อย่างนั้นก็จะกลับมาตีกันอีก มันจะเพี้ยนไปหมด นี่คือจุดที่ต้องเน้น นายอำเภอต้องทำให้ชุดที่ลงพื้นที่ 7,000 ชุดไปพูดให้ประชาชนเข้าใจให้ได้
ตั้ง กมธ.ร่วม 3 ฝ่ายสัปดาห์หน้า
ที่รัฐสภา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงข้อโต้แย้งของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต่อร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ว่าคาดว่าจะตั้งกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายได้ภายในสัปดาห์หน้า พร้อมนำทุกประเด็นมาหารือว่าจะปรับแก้อะไรอย่างไรได้บ้าง เมื่อถามว่าสัดส่วน กมธ.ร่วม 3 ฝ่าย แบ่งเป็นสนช. 5 คน กรธ. 5 คน และ กกต. 1 คน เท่ากับมีเสียง 6 ต่อ 5 เสียง สนช.เป็นเสียงข้างน้อย จะทำให้ร่างกฎหมายลูกตกไปหรือไม่ นายพรเพชรตอบว่า ต้องเจรจาพูดคุยกันในประเด็นต่างๆว่า จะผ่อนผันหรือกำหนดกฎเกณฑ์ใดได้บ้าง ส่วนการคว่ำหรือไม่คว่ำเป็นอิสระของสมาชิกที่จะตัดสินใจ คิดว่าคว่ำ ลำบาก เพราะต้องใช้เสียง 3 ใน 4 ของสมาชิก สนช. และไม่เห็นด้วยที่จะใช้การคว่ำร่างกฎหมายลูกเป็นเทคนิคขยายเวลาเลือกตั้ง เบื้องต้น สนช.เห็นว่าร่างกฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับ ไม่ต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่

“มีชัย” ไม่รู้จะเลื่อนเลือกตั้งไหม
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. กล่าวถึงการทำความเห็นแย้งร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. เพื่อตั้ง กมธ. ร่วม 3 ฝ่าย ว่า จะส่งให้ สนช.ในวันที่ 9 ก.พ. เมื่อตั้ง กมธ.ร่วมแล้ว คงไม่แก้ไขจนเปลี่ยนไปมากกว่าประเด็นที่ตั้งไว้ ส่วนที่กังวลว่า สนช.อาจลงมติคว่ำร่างกฎหมายลูกนั้น อย่าไปกังวล สนช.ก็มีเหตุผลของเขา เมื่อ กมธ.ร่วมแก้ไขแล้ว ถ้าจะไม่เห็นชอบต้องใช้เสียง 2ใน3 อย่าเดาล่วงหน้า ตนตอบไม่ได้ แต่ไม่กระทบเรื่องเวลาไม่ยืดยาดอะไรแน่ มันเป็นขั้นตอนปกติ ที่คำนวณกันก็เป็นการคิดแบบเต็มอัตราศึกแล้ว สำหรับภารกิจของ กรธ.จะหมดลงต่อเมื่อกฎหมายลูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาครบหมดแล้ว เมื่อถามว่าสัญญาได้หรือไม่ว่ากฎหมายลูกจะไม่คว่ำ แล้วการเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป นายมีชัยตอบว่า ให้ความมั่นใจไม่ได้ เพราะไม่ใช่ผู้จัดการเลือกตั้ง มันอาจเกิดอะไรขึ้นที่ไหนไม่รู้ อย่าคาดการณ์อะไรกันมากเดี๋ยวนอนไม่หลับ

กกต.ปัดสมรู้เกมถ่วงเลือกตั้ง
นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. กล่าวว่า สำนักงาน กกต.กำลังประมวลความเห็นและประเด็นที่จะมีความเห็นแย้ง เราควรป้องกันก่อนไม่ใช่วัวหายแล้วล้อมคอก ไม่ได้หวังว่าเราจะชนะ เพราะก็รู้อยู่ว่าเราเป็น 1 เสียงเท่านั้น ขณะที่ สนช.และ กรธ.มีฝ่ายละ 5 เสียง แค่ให้ประชาชนรู้ว่า กกต.ไม่ได้นิ่งเฉย ยืนยันว่าการทำความเห็นแย้งนี้ไม่ใช่การถ่วงการเลือกตั้งให้ยืดยื้อออกไป เมื่อถามว่า สนช.อาจใช้ความเห็นของ กกต.และ กรธ. ที่เห็นแย้งในกฎหมาย คว่ำร่างกฎหมายลูก นายศุภชัยตอบว่า ไม่กังวลอยากให้ทุกคนมองโลกในแง่ดี ทุกคนอยากให้มีการเลือกตั้ง ที่เห็นแย้งไปเพื่อให้การเลือกตั้งสุจริต เป็นไปด้วยความราบรื่น จะได้ไม่ต้องถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เหมือนการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.2557

“สมชัย” ให้ดูหนังจริงสนุกกว่านี้
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ที่ สนช.แก้ไขโดยลดกลุ่มอาชีพจาก 20 กลุ่ม เหลือ 10 กลุ่ม และเปลี่ยนวิธีการเลือกไขว้ข้ามกลุ่ม มาเป็นการเลือกในกลุ่มอาชีพเดียวกัน กลายเป็นประเด็นสำคัญ เท่ากับเกือบเป็นการต้องเปลี่ยนแปลงกฎหมาย หากที่ประชุม กมธ.ร่วม 3 ฝ่าย หาก กรธ. สามารถแสดงเหตุผลและโน้มน้าวฝ่าย สนช. หรือ กกต.ได้เพิ่มเพียงแค่เสียงเดียว สามารถโหวตชนะในประเด็นดังกล่าวได้ และต้องไปลงมติใน สนช.อีกครั้ง หาก สนช.ลงมติด้วยเสียง 2 ใน 3 ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. เท่ากับจะตกไปทั้งฉบับ ต้องมายกร่างกันใหม่ การยกร่างใหม่โดยสิทธิเป็นหน้าที่ของ กรธ. แต่อาจมีผู้ขอให้ กรธ.แสดงสปิริตความรับผิดชอบต่อการยกร่างกฎหมายที่มีปัญหา อาจต้องตั้ง กรธ.ชุดใหม่ขึ้นยกร่าง ใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 เดือน เข้า สนช.อีก 60 วัน หากความเห็นแย้งก็ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 เดือน แปลว่าการเลือกตั้งได้ยืดออกไป 6 เดือนเป็นอย่างน้อย ดังนั้นต้องจับตาว่า กรธ.จะทำความเห็นแย้งเรื่องใด และ สนช.จะยืนยันความเห็นอย่างไร ประธาน กกต.ซึ่งเป็นเสียงเดียวจะเอนเอียงไปทางใด ทั้งหมดเป็นหนังตัวอย่าง หนังจริงสนุกกว่านี้

“นิพิฏฐ์” ดักคอกินรวบทั้งกระดาน
ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การตั้ง กมธ.ร่วม 3 ฝ่าย มีขั้นตอนระยะเวลาที่รัฐบาลนับรวมไปในโรดแม็ปเดิมที่จะให้มีการเลือกตั้งภายในเดือน พ.ย.2561 อยู่แล้ว แต่กลับถูกหน่วงยืดเวลาออกไปอีก 90 วัน ดังนั้นการตั้ง กมธ.ร่วมจึงเป็นแค่ตัวหลอก แต่ขอให้จับตาดูว่า สนช.จะเอาข้อสังเกตของ กมธ.ร่วมไปปรับแก้ร่างกฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับหรือไม่ หากนำไปปรับแก้ทุกอย่างก็จบไม่มีปัญหา แต่เท่าที่ฟังมาทราบว่า สนช.ตั้งธงล่วงหน้าไว้แล้ว แม้มติ กมธ.ร่วมจะออกมาอย่างไร สนช.ก็ไม่เอาด้วย คือไม่แก้ไขตาม ถึงขั้นตอนนี้ สนช.จะทำใน 2 วิธี คือ 1.สนช.อาจคว่ำกฎหมายลูกในหมวดเลือกตั้งนี้ฉบับใดฉบับหนึ่ง ก็จะส่งผลทำให้โรดแม็ปเลือกตั้งต้องหยุดชะงักยาว เพราะต้องกลับไปแก้รัฐธรรมนูญ อาจใช้เวลานานถึง 2 ปีขึ้นไป เพราะต้องมีการทำประชามติ เพื่อขอแก้ และมาเริ่มกระบวนการยกร่างกฎหมายลูกในโหมดเลือกตั้งฉบับที่ถูกคว่ำไป หากเป็นเช่นนี้ไม่สามารถทราบหรือกำหนดระยะเวลาการจัดการเลือกตั้งได้
ยกเป็นผลงานชิ้นโบแดง สนช.
นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า หรือ 2.สนช.รวบรวมเสียงส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ หากใช้วิธีนี้ก็จะยาวเหมือนกัน เพราะคงไม่สามารถกำหนดระยะเวลาตายตัวได้ เป็นไปตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เคยให้สัมภาษณ์สื่อ ดังนั้นการเลือกตั้งในเดือน ก.พ.2562 จึงไม่น่าจะเกิดขึ้นตามที่ผู้มีอำนาจเคยบอกไว้ “น่าสังเกตว่าตลอดกว่า 3 ปีที่ผ่านมา สนช.ร่างกฎหมายออกมาร่วม 200 ฉบับ แต่ไม่เคยคว่ำกฎหมายเลย หากมาคว่ำกฎหมายลูกในหมวดเลือกตั้งครั้งนี้ ถามว่ามีเหตุใด แต่ก็สอดคล้องกับที่นายกฯยืนยันกับประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐฯ ว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่อยากให้รัฐบาลบอกความจริงกับประชาชนและสังคมอย่างตรงไปตรงมา ว่าทำไมถึงต้องยื้อการเลือกตั้ง หรือทำไมจึงยังไม่อยากให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น”
พท.ขอให้ลดราวาศอกกันบ้าง
นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า แม้จะตั้ง กมธ.ร่วม 3 ฝ่าย ถ้าแต่ละฝ่ายยังยืนยันความคิดของตัวเอง จะมีผลกระทบกับการเลือกตั้งที่ต้องเลื่อนออกไปอีก จึงอยากให้ สนช.ลดราวาศอก ปรับแก้กฎหมายให้เป็นตามที่ กรธ.ยกร่างมาตามเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ ร่างเดิมมันดีอยู่แล้ว การปรับแก้ในหลายประเด็นอาจไม่เป็นตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติ ผลสุดท้ายกฎหมายจะกลายเป็นปัญหาไม่สิ้นสุดและการเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปอีก
“วัฒนา” แขวะรัฐบาลจอมโกหก
นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “โกหก...โรคติดต่อ” โกหกคือสัญลักษณ์ของรัฐบาลนี้ ตั้งแต่หัวหน้ารัฐบาลยันลิ่วล้อนิสัยเหมือนกันหมด เช่น เที่ยวไปรับปากกำหนดเลือกตั้งไว้แต่ไม่เคยรักษาคำพูด หรือเรื่องนาฬิกาเพื่อนของรองนายกฯ ที่ต้องเดือดร้อนลูกน้องไปทำโพลมาช่วยลูกพี่ แต่ดันไปโกงผลโพลจนถูกจับได้ก็ยังแถอ้างความมีเกียรติของทหาร ล่าสุดคือรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่โฆษณาว่าเศรษฐกิจดีแล้ว เป็นการโกหก การส่งออกที่บอกว่าโตขึ้นนั้น เป็นสินค้าภาคอุตสาหกรรมของต่างชาติ ที่ได้รับการยกเว้นภาษีจากบีโอไอ แต่การบริโภคในประเทศยังถดถอย คนจนยังลำบากต่อไป ส่วนเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ปีที่แล้วเข้ามากว่า 2 แสนล้านบาท เทียบกับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีเม็ดเงินลงทุนถึงหนึ่งล้านล้านบาท จึงต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว สุดท้ายที่บอกว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงสุดในรอบ 3 ปีนั้น คือไปถามประชาชนตอนที่ยังมีความหวังว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นไม่เกินเดือน พ.ย.นี้ แต่ขณะนี้เริ่มไม่แน่นอน ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นแน่นอน
จี้คืนความสุขก่อนตายกันหมด
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงานและแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าความมั่นใจของนักลงทุนเพิ่มขึ้นนั้น อยากถามว่าความมั่นใจจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อองค์กรสิทธิมนุษยชนยังตำหนิรัฐบาลไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายด้าน แล้วรัฐบาลยังดำเนินคดีกับกลุ่มเคลื่อนไหวแสดงออก ปัจจัยเหล่านี้มีความสำคัญต่อความมั่นใจของนักลงทุน และความมั่นใจจะยิ่งทรุดลงตามความนิยมของรัฐบาลที่กำลังตกต่ำแบบดิ่งเหว จากทุกโพลสำรวจ การที่นายกฯถามประชาชนว่าจะอยู่แบบนี้หรือจะอยู่แบบเก่า อยากให้ประชาชนเลือกว่าปัจจุบันมีความสุขมากกว่าในอดีตหรือไม่ ทำมาหากินลำบากกว่าเดิมขนาดไหน เพราะลำบากกันมากใช่ไหมถึงอยากให้มีการเลือกตั้ง พอเวลาจวนตัวถึงมาคิดช่วยคนจน ประชาชนคงอยากทวงเวลาความสุขคืนตามสัญญาที่รัฐบาลและ คสช.ขอยืมไปจนเกินเวลาแล้ว ก่อนที่จะตายกันหมด
ตอก “ผู้นำ” ทำสวนกระแสสังคม
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศกับประชาชนว่าอย่ารักนายกฯคนเดียวต้องรักรองนายกฯด้วยนั้น เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์มีหลักคิดและตัดสินใจยืนข้าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม อย่างเหนียว แน่น ต่อกรณีการตรวจสอบเรื่องนาฬิกาหรู ตั้งแต่ขอให้ลดราวาศอกมาถึงการอ้อนขอให้รัก แม้กระแสสังคมจะกดดันอย่างหนักให้แสดงความรับผิดชอบ แต่ พล.อ.ประยุทธ์กลับเลือกยืนหยัดและให้ความเชื่อมั่นกับ พล.อ.ประวิตรมากกว่า สวนทางกับการใช้อำนาจมาตรา 44 สั่งปลด ย้าย ระงับการปฏิบัติหน้าที่ผู้ที่อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน พล.อ.ประยุทธ์ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงกล้าประกาศจุดยืนสนับสนุน พล.อ.ประวิตรสวนทางกับกระแสสังคม เพราะอาจทำให้ความไว้วางใจจากประชาชนลดต่ำลง และสะท้อนเป็นปฏิกิริยาทางสังคมต่อไป
นายกฯให้ระวังผิดทางละเมิด
ช่วงเช้าวันเดียวกันที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. กล่าวระหว่างเป็นประธานพิธีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังครั้งที่ 4 ประจำปีงบประมาณ 2560 ว่าขอให้กำลังใจหน่วยงานที่ยังไม่ได้รับรางวัล อยากให้เร่งพัฒนาตัวเอง และระมัดระวังในเรื่องความรับผิดทางละเมิด ต้องพยายามสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างรัฐ ข้าราชการ และประชาชน ต้องมีความโปร่งใสมีระบบตรวจสอบควบคุม ผิดตรงไหนต้องตรวจสอบตรงนั้น ไม่ใช่ข้างล่างระดับท้องถิ่นผิด นายกฯผิดด้วย เพราะไม่เคยสั่งว่าต้องไปทุจริต ขอร้องสื่ออย่าขยายความขัดแย้งอีกเลย
ฉุนบิดเบือนไทยนิยมหว่านงบฯ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า วันนี้เรากินบุญเก่ามา 20 ปีแล้ว หากไม่ทำอะไรใหม่ 20 ปีข้างหน้า บุญเก่าหรือการลงทุนเดิมๆก็หมดไป ตอนเป็นนายทหารเด็กๆ ได้รางวัลก็ภูมิใจจะชักจูงให้เราดีขึ้น ถ้าไม่ได้รางวัลเลย ชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ทำงานไปวันๆ แบบรูทีนก็อยู่ได้ จับพลัดจับผลูก็โตขึ้น ถ้าคิดอย่างนี้เรียกว่าฝันร้าย ต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซื่อสัตย์สุจริต สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีจริยธรรมใสสะอาด มีประสิทธิภาพ และความภาคภูมิใจ ขอให้ทำงานเชิงรุก ริเริ่ม รวดเร็ว รอบคอบ ให้คนเชื่อมั่นศรัทธาต่อหน่วยงานรัฐ หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าที่เราเดินหน้าไปสู่ 4.0 หรือการทำโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นแค่ความฝันที่ใหญ่เกินไป ถ้าคิดแบบนี้ประเทศจะอยู่อย่างนี้ นั่นคือความฝันทุกคนฝันได้ และรัฐบาลต้องสร้างความฝันอันยิ่งใหญ่นี้ ทุกคนต้องช่วยกันทำ และประชาชนต้องเข้าใจด้วย วันนี้เราเดินหน้าขับเคลื่อนตามนโยบายไทยนิยม ไม่ใช่การเอาเงินไปหว่าน หลายคนบิดเบือนวิจารณ์ว่ารัฐบาลคิดอะไรไม่ออก จึงเอางบฯมาใช้จ่ายกันง่ายๆ ก่อให้เกิดการทุจริต
“ปู” ยื่นชะลอขายทอดตลาดบ้าน
ที่สำนักงานศาลปกครอง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นายนพดล หลาวทอง ทนายความ เป็นตัวแทนยื่นคำร้องทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครอง ที่สั่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 3.5 หมื่นล้านบาท จากกรณีจงใจปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว โดยขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งให้กรมบังคับคดี งดหรือชะลอการขายทอดตลาดทรัพย์สินไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด นายนพดลกล่าวว่า ยังไม่มีคำพิพากษาของศาลใดให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชดใช้ มีเพียงคำสั่งทางปกครอง นอกจากนี้ มีคำพิพากษาของศาลฎีกานักการเมืองว่า การทุจริตไม่ได้เกิดขึ้นในขั้นตอนของนโยบายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กำกับดูแล จึงเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดในทางละเมิด ไม่น่าจะมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องมายึดทรัพย์ระหว่างพิจารณาคดี ขณะนี้กรมบังคับคดียึดทรัพย์อายัดบัญชีเงินฝาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ทั้งหมดแล้ว ทั้งที่ทรัพย์บางส่วนเกิดจากการทำมาหาได้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นน้ำพักน้ำแรงก่อนดำรงตำแหน่งนายกฯ สำหรับบ้าน สามีและบุตร พร้อมบริวารก็ยังอาศัยอยู่ เหมือนประหารก่อนมีคำพิพากษา

“วิษณุ” ลุ้นอีกเฮือกคดีคลองด่าน
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีศาลปกครองกลางนัดคู่กรณีฟังคำพิพากษาคดีก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านใหม่ ในวันที่ 6 มี.ค. หลังจากเมื่อปี 2560 กระทรวงการคลัง และกรมควบคุมมลพิษ ขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายจำนวนกว่า 9 พันล้านบาทให้กับ 6 บริษัทร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี ว่า ถ้าศาลตัดสินอย่างไรต้องปฏิบัติไปอย่างนั้น เรื่องนี้เป็นการขอให้พิจารณาใหม่ โดยคำตัดสินครั้งนี้ถือเป็นที่สุด หากรัฐแพ้คดีจะต้องจ่ายค่าชดเชยความเสียหาย แต่ถ้ารัฐชนะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว ซึ่งจะสามารถรักษางบประมาณได้จำนวนมาก
“วัชระ” จ่อสอบจริยธรรม “สมยศ”
อีกเรื่อง นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณี พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง สนช. และอดีต ผบ.ตร. ระบุว่าอาชีพตำรวจเป็นไซต์ไลน์นั้น ถือเป็นการหยามหมิ่นตำรวจทั่วประเทศหรือไม่ เป็นความเสื่อมเสียของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่มอบยศ พล.ต.อ. และตำแหน่ง ผบ.ตร. และยังเป็น คสช.ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. แต่งตั้งด้วย ทำให้ประชาชนสงสัยว่าสมัยเป็น ผบ.ตร. ได้เบียดบังเวลาราชการไปทำธุรกิจหรือไม่ และการไปยืมเงินจากเจ้าของสถานบริการ 300 ล้านบาท อยากทราบว่าเอาเงินไปทำอะไร และธุรกิจอะไร ขณะนี้ยังดำรงตำแหน่ง สนช.อยู่ จึงต้องปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมด้วย ดังนั้นวันที่ 12 ก.พ. จะทำหนังสือถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ให้ตรวจสอบตามมาตรฐานจริยธรรมของ พล.ต.อ.สมยศ และอาจเรียกร้องให้ ป.ป.ช. และปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วย และ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้แต่งตั้ง พล.อ.สมยศ เป็นสมาชิก คสช. และ สนช. จะรับผิดชอบอย่างไร
ยุโรป 3 ปท.ตบเท้าเยือนไทย
น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า นายแองเจลิโน อัลฟาโน รมว.ต่างประเทศและความร่วมมืออิตาลี และคณะ มีกำหนดเดินทางเยือนไทยระหว่างวันที่ 8-9 ก.พ. โดยจะหารือกับ รมว.ต่างประเทศ และเข้าเยี่ยมคารวะนายกฯ คาดว่าจะหารือการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การส่งเสริมการค้าการลงทุน โดยเฉพาะสาขาที่สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรืออีอีซี จากนั้นวันที่ 11-12 ก.พ. นายบอริส จอห์นสัน รมว.ต่างประเทศอังกฤษ และคณะ มีกำหนดเยือนไทย คาดว่าจะหารือประเด็นความร่วมมือด้านอากาศยาน เทคโนโลยีด้านการเงิน (ฟินเทค) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และวันที่ 12-13 ก.พ. นายฌองบาติสต์ เลอมวน รมช.กระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศฝรั่งเศส จะเดินทางมาเยือนประเทศไทยเช่นกัน
สนช.ชงเพิ่ม รมว.กห.ร่วมอีอีซี
ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ในวาระ 2 และ 3 ที่ กมธ.มีการแก้ไขทั้งสิ้น 49 มาตรา โดน สนช.อภิปรายท้วงติงหลาย ประเด็น อาทิ การแก้ไขมาตรา 6 ที่กำหนดให้ “ในกรณีที่มีความจำเป็น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ มีความต่อเนื่อง” นั้น สามารถตราพระราชกฤษฎีกาให้พื้นที่บางส่วนในเขตจังหวัดที่ติดต่อหรือเกี่ยวข้องกับพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการดังกล่าว ให้เป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกด้วยได้อยู่แล้ว อาจทำให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญได้ ขณะที่มาตรา 10 สมาชิกเสนอว่า ควรเพิ่มสัดส่วนอื่นๆ อาทิ รมว.ศึกษาธิการ รมว.กลาโหม เข้ามาเป็นคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกด้วย ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจเท่านั้น
อ้างกันพื้นที่ไข่ขาวเท่าที่จำเป็น
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ชี้แจงว่า เรื่องนี้มาจากคณะกรรมการระเบียงเศรษฐกิจ ที่มีนายกฯเป็นประธาน เห็นควรหาทางให้จุดที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค เข้ามาอยู่ในการได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายด้วย เสมือนว่าเป็นพื้นที่ไข่ขาว โดยต้องออกเป็น พ.ร.ฎ. ผ่าน ครม. ภายใต้ความจำเป็นและเพื่อประโยชน์สาธารณูปโภคหรือโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น จะเอาไปทำอย่างอื่นไม่ได้ ถือว่ายังอยู่ในหลักการของกฎหมาย ส่วนการเพิ่มสัดส่วน ให้ รมว.กลาโหม และ รมว.ศึกษาธิการ เข้ามาเป็นกรรมการนโยบายฯโดยตำแหน่งเพราะสมาชิก สนช.เสนอ และมีเหตุผลเป็นที่ยอมรับ จากนั้นที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ฯ ในวาระ3 ด้วยมติเอกฉันท์ 170 ต่อ 0
MBK39 มาตามหมายคดีชุมนุม
เมื่อเวลา 07.00 น. ที่ตลาดสามย่าน กลุ่มผู้ชุมนุมรวมพลคนอยากเลือกตั้ง ที่ลานสกายวอล์ก หน้าหอศิลปะและวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ซึ่งถูกตำรวจ สน.ปทุมวัน แจ้งความดำเนินคดีใน 3 ข้อหา คือ ยุยงปลุกปั่น มาตรา 116 ขัดคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/58 ที่ห้ามมั่วสุมชุมนุมเกิน 5 คน รวมทั้งฝ่าฝืนมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะทยอยเดินทางมารวมตัวกัน เพื่อลงนามในเอกสารมอบอำนาจ ให้ทีมทนายความของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิ มนุษยชน นำโดย น.ส.ภาวิณี ชุมศรี นำตัวเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน พร้อมสวมเสื้อที่เป็นสัญลักษณ์กลุ่มที่ใช้ชื่อว่า mbk39 โดยมีกลุ่มเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง หรือ คนส. นำโดย น.ส.ชลิตา บัณฑุวงศ์ อาจารย์คณะสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ น.ส.เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว นักวิชาการ มหาวิทยาลัยมหิดล นายบุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รอทำหน้าที่เป็นนายประกัน โดยมีนางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต สปท. นายสุณัย ผาสุข ผู้แทนองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ ร่วมสังเกตการณ์ มีมวลชนเสื้อแดงจำนวนมากนำดอกไม้มาให้กำลังใจ ขณะที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน เตรียมนำแผงรั้วเหล็กมากั้นรอบบริเวณหน้า สน.ส่วนรอบนอกมีกำลังตำรวจชุดควบคุมฝูงชน 1 กองร้อยรวมถึงเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนนอกเครื่องแบบกระจายสังเกตการณ์
กลุ่มนักวิชาการจี้ยุติดำเนินคดี
ต่อมาเวลา 10.00 น. น.ส.เบญจรัตน์อ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมว่า การดำเนินคดีและการแจ้งความกับกลุ่มผู้ชุมนุมรวมพลคนอยากเลือกตั้ง กลุ่มประชาชน จ.พะเยา ที่ชูป้ายสนับสนุนกิจกรรม we walk นั้นเป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบของ คสช. กลุ่ม คนส.ที่ประกอบด้วยนักวิชาการ 60 คน จาก 15 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ จึงร่วมกันลงนามในแถลงการณ์เรียกร้องไปยังรัฐบาลให้ยกเลิกการดำเนินคดี ทั้งขอให้เร่งคืนอำนาจให้ประชาชนด้วยการจัดการเลือกตั้ง รวมทั้งยกเลิกคำสั่งกฎหมายที่ละเมิดสิทธิของประชาชน จากนั้นทีมทนายนำผู้ชุมนุมเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับ พ.ต.ท.สมัคร ปัญญาวงศ์ รอง ผกก. (สอบสวน) สน.ปทุมวัน มีการพิมพ์ลายนิ้วมือ ถ่ายภาพทำประวัติ และลงนามในสำนวนสอบสวน ทั้งหมดให้การปฏิเสธทุกข้อหา ทั้งนี้ผู้ชุมนุมที่เดินทางมา 34 คน จากทั้งหมด 39 คน สำหรับผู้ที่ไม่มารับทราบข้อกล่าวหา ประกอบด้วย 1.นายรังสิมันต์ โรม นศ.ปริญญาโท นิติศาสตร์ม.ธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย 2.นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว แกนนำกลุ่มประชาธิปไตยศึกษา 3.นายอานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน และ 4.นายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อน ไหว ซึ่งทั้งหมดแจ้งผ่านทนายความว่าขอเลื่อน
รวม 34 คนรับทราบข้อกล่าวหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของผู้ที่มารับทราบข้อหา ประกอบด้วย 1.กลุ่มแกนนำผู้จัดชุมนุม 5 คน ประกอบด้วย น.ส.ณัฏฐา มหัทนา นายสุกฤษฎ์ เพียรสุวรรณ นายเนติวิทย์ โชติภัทรไพศาล นายวีระ สมความคิด และนายสมบัติ บุญงามอนงค์ 2.กลุ่มผู้เข้าร่วมชุมนุม ประกอบด้วย นายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ นางมัทนา อัจจิมา น.ส.พัฒน์นรี ชาญกิจ นายเอกศักดิ์ สุพรรณขันธ์ นางรักษิณี แก้ววัชระสังสี นางจุฑามาศ ทรงเสี่ยงไชย นางพรนิภา งามบางนายกิตติธัช สุมาลย์นพ นางสุดสงวน สุธีสร นายกันต์ แสงทอง นายนพพร นามเชียงใต้ นายสุวัฒน์ ลิ้มสุวรรณ นางกมลวรรณ หาสาลี นางนัตยา ภานุทัต นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ นางประนอม พูลทวี นายสงวน คุ้มรุ่งโรจน์ นายสุรศักดิ์ อัศวะเสนา นางพรวลัย ทวีธนวาณิชย์ นางสุวรรณา ตาลเหล็ก นางนภัสสร บุญรีย์ น.ส.อรัญญิกา จังหวะ นายพรชัย ประทีปเทียนทอง นายวรัญชัย โชคชนะ นายคุณภัทร คะชะนา นายสามารถ เตชะธีรรัตน์ น.ส.อ้อมทิพย์ เกิดผลานนท์ นายวราวุธ ฐานังกรณ์ และนายเดชรัตน์ สุขกำเนิด
“ศรีวราห์” เข้มชงฝากขัง 5 แกนนำ
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า สำหรับผู้ที่ไม่มารับทราบข้อกล่าวหาก่อนเวลา 14.00 น. พนักงานสอบสวนจะดูเหตุผลที่ขอเลื่อนว่าสมเหตุผลหรือไม่ ถ้าไม่ก็จะรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับ ทั้งนี้หลังสอบปากคำเสร็จพนักงานสอบสวน จะแบ่งผู้ต้องหาออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกแกนนำ จะควบคุมตัวส่งศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อผัดฟ้องและขออำนาจศาลฝากขัง อีกกลุ่มประชาชนที่นำมาชุมนุม จะนำตัวผัดฟ้องต่อศาลอย่างเดียว แต่จะไม่ขอฝากขัง ซึ่งคงไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ประกันตัว ยืนยันตำรวจทำตามกระบวนการกฎหมาย ไม่ได้ทำเพราะโกรธเกลียดใคร แม้การชุมนุมเป็นการใช้สิทธิแต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ส่วนที่มีการนัดชุมนุมในวันที่ 10 ก.พ.นั้น ถ้าพบเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายต้องถูกดำเนินคดี หากจะมาชุมนุมต้องไปขออนุญาตให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ชุมนุม และขออนุญาตทางฝ่ายความมั่นคงที่รับผิดชอบในพื้นที่ ขณะนี้ยังไม่มีการทำเรื่องขอมา
ศาลยกคำร้องฝากขัง 5 แกนนำ
ต่อมาที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน นำตัวน.ส.ณิฏฐา มหัทนา นายสุกฤษฎ์ เพียรสุวรรณ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นายวีระ สมความคิด และนายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่ม MBK39 มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลผัดแรกเป็นเวลา 12 วัน กระทั่งเวลา 19.10 น. ศาลเห็นว่าผู้ต้องหาทั้ง 5 มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ไปพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก และให้ความร่วมมือแก่พนักงานสอบสวนเป็นอย่างดี ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ต้องหาจะไปเข้าร่วมการชุมนุมในวันที่ 10 ก.พ. และเกรงว่าจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายประการอื่น เป็นเพียงการคาดคะเนของผู้ร้องเท่านั้น กรณีไม่มีเหตุจำเป็นที่จะขังผู้ต้องหาทั้ง 5 ระหว่างสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 87 ต่อไป จึงให้ยกคำร้อง
ปรับมือพ่นสเปรย์คนละสามพัน
ส่วนกรณีมีผู้พ่นสเปรย์กราฟฟิตี้เป็นรูปนาฬิกา และมีใบหน้าคล้าย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม บนสะพานลอยข้ามถนนระหว่างซอยสุขุมวิท 56 กับ 58 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ สน.พระโขนง นายมานพ แย้มอุทัย อดีตอาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พาบุตรชาย และเพื่อนบุตรชายคือนายสมรนนท์ แย้มอุทัย อายุ 35 ปี นายสืบสกุล ชยสมบัติ อายุ 32 ปี มือพ่นสีสเปรย์ เข้าพบ พ.ต.อ.ชนิน วชิรปาณีกูล ผกก.สน.พระโขนง ตามหมายเรียก เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสอง ให้การรับสารภาพตามข้อกล่าวหา พร้อมได้เสียค่าปรับ เป็นเงินคนละ 3,000 บาท ตามขั้นตอนกฎหมาย